“โค้ชเกรียงศักดิ์ ผมอยากหารือเรื่องคุณภาพของดุลพินิจของผมครับ”
“บ๊อบ มีอะไรในใจหรือครับ”
“โค้ช ปีนี้ผมลองประเมินคุณภาพในการใช้ดุลพินิจในการตัดสินใจของผมดู ผมว่าคุณภาพมันตกลงไปครับ ผมตัดสินใจพลาดไปราว 50% มันทำให้ผมเริ่มไม่มั่นใจในตัวเองแล้ว”
“แล้วก่อนหน้านั้นละครับ”
“โค้ชครับ ปีที่แล้ว ผมตัดสินใจถูก 2/3 ครับ”
“บ๊อบ คุณพูดถึงผลลัพธ์ที่เกิดมาแล้ว ช่วยบอกสิ่งที่คุณปรารถนาจะเห็นตัวเองในอนาคตหลังจากการคุยกันในวันนี้คืออะไรครับ”
“โค้ช ผมอยากจะตัดสินใจให้ได้มีคุณภาพเท่าเดิมคือถูก 2/3 ครับ”
“เอาละ เรามาเจาะลึกในรายละเอียดกัน อะไรคือความแตกต่างระหว่างปีนี้และปีที่แล้วครับ”
“โค้ชครับ ปีนี้ผมล้วงลึกในการทำงานมากขึ้น ดังนั้น แทนที่ผมจะรอคนของผมตัดสินใจ ผมก็กระโดดลงไปตัดสินใจแทนพวกเขามากขึ้นเยอะเลย”
“อะไรทำให้คุณต้องกระโดดเข้าไปละครับ”
“เพราะว่าธรรมชาติการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วครับ อะไรต่ออะไรมันเร็วไปหมด ในขณะที่กระบวนการภายในและข้อมูลมันไม่ได้ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วแบบนี้ หากผมรอให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางคงไม่ทันกิน ดังนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะกระโดดเข้าไปช่วยทันทีที่ผมทราบ”
“มันก็ฟังดูดีนะ แล้วเกิดพลาดอะไรขึ้นมาละ”
“ผมไม่ได้จับงานปฎิบัติการมานานแล้ว กระบวนการและขั้นตอนการทำงานมันเปลี่ยนไปมากทีเดียว ลูกค้าและคู่แข่งก็เปลี่ยน ที่สำคัญภูมิทัศน์ทางธุรกิจในระดับปฎิบัติการก็เปลี่ยนแปลงไปมาก เมื่อผมพยายามใช้ดุลพินิจในการทำงานในระดับจุลภาค ผมจึงใช้กรอบความคิดเมื่อสิบปีที่แล้ว ดังนั้นการตัดสินใจของผมจึงไม่ค่อยถูกต้องนัก กว่าครึ่งมันผิด ทำให้เราต้องแก้ไขงานมากขึ้นไปอีก”
“มีทางเลือกอะไรอีกครับ”
“โค้ช ทีมงานผมอยู่ใกล้กับปัญหามากกว่าผมเยอะ พวกเขาก็มีดุลพินิจที่ดีในการตัดสินใจในระดับปฎิบัติการ ปัญหาที่พวกเขามีคือ
1. พวกเขามีแนวโน้มที่จะรอให้มีข้อมูลเพียงพอก่อนจึงจะกล้าตัดสินใจ
2. พวกเขามีแนวโน้มที่จะทำงานข้ามสายงานกันได้ไม่ดี
หากว่าผมฝึกให้พวกเขาสามารถทำสองสิ่งนี้ให้ดีกว่าเดิม ผมเองจะได้ไม่ต้องกระโดดเข้าไปช่วย”
“บ๊อบ คุณวางแผนไว้อย่างไรบ้างละครับ”
“สำหรับประเด็นแรก ผมคงต้องให้ความรู้กับพวกเขาครับว่าในโลกของ VUCA การตัดสินใจที่ดีคือการตัดสินใจภายใต้ข้อจำกัดของข้อมูลและเวลาเท่าที่จะทำได้ จากหนังสือ Work smarts: What CEOs say you need to know to get ahead ของ Betty Liu ผู้เขียนอ้างถึง Martin Sorrell – CEO ของ WPP plc ว่า “การตัดสินใจที่แย่ในวันจันทร์ดีกว่าการตัดสินใจที่ดีในวันศุกร์” การที่เราตัดสินใจโดยข้อมูลไม่เพียงพอหมายความว่าเราได้มีการประเมินความเสี่ยงไว้แล้วว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง และเราพอยอมรับมันได้ในระดับใด ดังนั้นคุณจึงกล้าที่จะตัดสินใจโดยวางแผนล่วงหน้าว่าหากเกิดอะไรพลาดเราจะจัดการอย่างไร
จะมีทัศนคติแบบนี้ได้เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับความผิดพลาดได้ เราต้องตระหนักถึงแนวคิดที่ว่า “ล้ม-ไปข้างหน้า” เราต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับเรื่องความผิดพลาดและเรียนรู้ที่จะปล่อยวางอัตตาของเราและอยู่กับเรื่องความผิดพลาดได้
สำหรับเรื่องการร่วมมือทำงานข้ามฝ่ายงานผมยังนึกไม่ออกเลย”
“บ๊อบ คุณคิดว่าเพราะอะไรคนจึงทำงานข้ามสายงานกันได้ยากละครับ”
“ผมว่า พวกเขา เกรงใจ และให้เกียรติ กันมากเกินไปครับ”
“หมายความว่าอะไรครับ”
“พวกเขามองว่าแต่ละฝ่ายงานมีอาณาเขตของตนเองอย่างชัดเจน ภายใต้อาณาจักรของแต่ละคน คนอื่นห้ามแตะ พวกเขาต้องเคารพและให้เกียรติเจ้าของพื้นที่”
“คุณคิดว่าอย่างไรกับมุมมองแบบนี้ครับ”
“ผมว่ามันล้าสมัยไปแล้ว ทุกอย่างมันจะดูคลุมเครือมากขึ้น หากเรามัวแต่ยึดติดกับความชัดเจนและมีอัตตาผูกติดกับบทบาทและหัวโขนมากเกินไป เราจะมีปัญหาในการทำงานร่วมมือกันข้ามสายงานเป็นอย่างมาก
โค้ช ผมคงต้องให้ความรู้กับพวกเขาเกี่ยวกับมุมมองเหล่านี้ครับ”
“บ๊อบ ฟังดูเป็นแผนงานที่ดีครับ อาจจะมีความเสี่ยงอะไรบ้างครับ”
“โค้ชครับ เหตุผลทั้งสองประการที่ผมยกขึ้นมานั้นมันต้องเริ่มจากการมีทัศนคติที่ถูกต้องเสียก่อนครับ”
“มันคืออะไรบ๊อบ”
“โค้ชครับ ในขณะนี้บริษัทเรากำลังอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างมาก เราไม่มีความหรูหราพอที่จะมารบรากันเองภายในบริษัทอีกต่อไปแล้ว เรามีศึกนอกบ้านมากมาย ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียก็ยิ่งเรียกร้องจากเรามากขึ้นเรื่อย ๆ เราต้องมองวิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาส เราต้องทำงานร่วมกันให้ดีกว่าเดิม เราต้องประสานพลังร่วม แทนที่จะคิดแบบว่า 1+1=2 เราต้องคิดว่า 1+1=11 ซึ่งจะทำอย่างนั้นได้เราต้องปล่อยวางแนวคิดในอดีต ทัศนคติแบบเดิม ๆ และที่สำคัญเลยเราต้องละอัตตาของเราแต่ละคนออกไป”
“บ๊อบ ฟังดูดีครับ เรามาติดตามผผลกันในครั้งหน้าละกันครับ”