คนไทยเวลาทำงานร่วมกัน เรามักจะมีการทำงานแบบพี่ ๆ น้อง ๆ
เราให้เกียรติ และเคารพในความอาวุโส กันมาก
คนที่อายุมากกว่า ประสบการณ์มากกว่า ตำแหน่งสูงกว่า
จึงมักจะไม่มีคนแสดงความเห็นต่าง จากคนที่อาวุโสน้อยกว่า
แม้ว่าคนอาวุโสน้อยกว่าอาจมีความคิดเห็นที่ตรรกดีกว่า
ความคิดเห็นคือดุลพินิจ
ดุลพินิจคือการตัดสินใจภายใต้ข้อมูลที่มี
ดุลพินิจจึงมักไม่สามารถชี้ขาว/ดำ ณ. เวลาที่ตัดสินใจ
เป็นเรื่องของอนาคตที่ต้องพิสูจน์กัน
หลายครั้งก็อาจจะต้องรอเวลาอีกระยะหนึ่ง
จึงเป็นการยาก ที่จะบอกได้ว่า “ดุลพินิจ” ใครดีที่สุด ณ. เวลานั้น
จึงต้องมีการถก มีการท้าทายตรรก มีการอภิปรายกัน แบบเปิดเผยเท่าที่จะทำได้
ข้อเสนอที่มีตรรกที่ฟังแล้วน่าเชื่อมากที่สุดจึงจะได้รับการยอมรับ
แต่หากเราให้ความสำคัญเกินควรในเรื่อง “อาวุโส”
องค์กรจะไม่ขยับไปไหนมากนัก
เพราะคนที่อาวุโสมากกว่าก็มักจะยึดตรรกที่เคยเวิร์คมาก่อนในอดีตเป็นส่วนใหญ่
แต่ว่าการทำงานยุคนี้ อนาคตคาดการณ์ได้ยากมากขึ้นเรื่อย ๆ
หมายความว่า “อดีตที่เคยเวิร์ค” ของผู้อาวุโส อาจเวิร์คน้อยลง
ผู้ที่มีอาวุโสมากกว่า จึงต้องแสดงให้คนอาวุโสน้อยกว่าเห็นว่า
“ตอนนี้ผู้อาวุโสไม่ได้ยึดติดอัตตาในอดีตแล้ว”
วิธีการที่ผู้มีอาวุโสสามารถทำได้คือ…
รับฟังมากขึ้น ด้วยการเกริ่นว่า “ตอนนี้อะไรก็เปลี่ยนไป ประสบการณ์เดิมของผมอาจไม่เวิร์คเท่าที่ควรในอนาคต อยากรับฟังความเห็นของคนรุ่นใหม่ที่มีมุมมองใหม่ ๆ บ้าง เชิญครับ…” แล้วใจเย็นมาก ๆ ที่จะรอคอยให้คนแสดงความคิดเห็น
หากเกิดมีคนที่ชอบอวย “ผู้อาวุโส” อาจกล่าวขึ้นมาในทำนองว่า “พวกเราขอรับฟังความคิดของท่านก่อนครับ เพราะดุลพินิจและปัญญาของท่านมีคุณค่ามากครับ”
ผู้อาวุโสต้องมีสติ อย่าหลงระเริงไปกับการอวย ด้วยการชี้แจงไปว่า “ขอบคุณที่ให้เกียรติครับ ถ้าจะแสดงความให้เกียรติกันจริง ขอให้กล้าแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์กับบริษัทมากที่สุด โดยไม่ต้องกังวลใจมากไปว่าเดี๋ยวผู้ใหญ่จะหาว่าไม่เคารพอาวุโสกัน”
ต้องเริ่มที่ผู้อาวุโสก่อนครับ แล้วเราจะเป็นแบบพี่ ๆ น้อง ๆ กัน อย่างตรงไปตรงมามากขึ้น ครับ