ช่วยให้ผีเสื้อบิน

ในระหว่างทานข้าวกลางวัน  วนิดาซึ่งเป็นซีอีโอ  ถามกิตติผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งที่รายงานตรงต่อเธอว่า  “กิตติ  พี่สังเกตว่าคุณไม่เคยปิดมือถือเลย  แม้กระทั่งเวลาประชุม  แล้วพี่ก็เห็นคุณขอตัวออกไปจากที่ประชุมกลางคันเพื่อรับโทรศัพท์  พี่อยากรู้ว่าเป็นโทรศัพท์ของใครหรือ  ทำไมมันสำคัญขนาดรอจนจบประชุมไม่ได้นะ  พี่เห็นเป็นประจำเลยค่ะ”

กิตติมีท่าทีอึดอัด  เขาตอบว่า  “ไม่มีอะไรหรอกครับ  เรื่องส่วนตัวนะครับ  ผมขอโทษ”

วนิดายิ้มแบบผู้ใหญ่ใจดี  เธอเงียบไปสักครู่จึงพูดต่อ  “กิตติเราสองคนทำงานด้วยกันมาพอสมควร  คิดว่าพี่เป็นพี่สาวของคุณก็ละกัน  เพราะพี่อายุมากกว่าคุณสองสามปี  มีอะไรก็เล่าสู่กันฟังซิคะ  เผื่อว่าพี่อาจจะแนะนำอะไรให้ได้บ้าง”  วนิดาเลือกใช้แนวทางพี่น้อง  แทนที่เธอจะตำหนิเขาโดนตรงในเรื่องพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในที่ประชุม  แบบเจ้านายกับลูกน้อง 

วิธีนี้ได้ผล  กิตติสารภาพออกมาแบบกระอักกระอ่วน  “ก็…คือว่า…พี่อย่าโกรธผมนะครับ  มันเป็นโทรศัพท์มาจากลูกสาวผมเอง  เธอเพิ่งไปเรียนไฮสคูลที่ออสเตรเลียเมื่อไม่กี่เดือน  โรงเรียนที่ลูกสาวผมเรียนนี้ค่อนข้างจะเข้มงวด  แถมมีการบ้านจมเลย  ตอนลูกสาวผมเรียนที่นี่ผมช่วยติวและทำการบ้านร่วมกับเธอบ่อย ๆ  เพราะเธอเป็นลูกคนเดียว  เธอคือดวงใจของผมเลยครับ

ผมบอกเธอว่าไปอยู่นั่นติดขัดเรื่องการบ้านละก็โทรมาหาผมได้ทุกเมื่อ  ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดผมจะคอยช่วยเหลือเธอ  ผมไม่ต้องการเห็นเธอล้มเหลว  ตอนค่ำเมื่อกลับบ้านผมก็แทบจะไม่ได้พักผ่อน  แต่จะไปช่วยเธอทำการบ้านแล้วส่งเมลไป  เรื่องคณิตศาสตร์บ้าง  ภาษาอังกฤษบ้าง  ผมอยากให้เธอประสบความสำเร็จ  

ผมต้องขอโทษที่บริหารเวลาไม่ค่อยได้เรื่อง“  กิตติจบเรื่องลงด้วยท่าทีละอายใจ 

วนิดาแสดงความเห็นใจ  “เรื่องของคุณมันฟังแล้วคุ้นมากเลย  พี่พอจะจินตนาการออกถึงความลำบากใจของเธอ  พี่เองก็มีลูกสาวเรียนปริญญาโทอยู่ที่อเมริกา  พี่เคยทำแบบคุณเหมือนกัน  เพราะลูกสาวพี่จบตรีแล้วไปต่อโทเลย  จึงไม่มีประสบการณ์ในการทำงาน  ดังนั้นพอทำกรณีศึกษาก็มักจะไม่ทันเพื่อนหรือไม่เข้าใจ  แถมยังไม่กล้าถามอาจารย์อีก  พี่เลยต้องช่วยทำเคส  แล้วก็เมล์ไปให้เธอ  

แต่ว่าตอนนี้พี่หยุดช่วยเธอแบบนั้นแล้ว”

กิตติถามด้วยความประหลาดใจ  “ทำไมละครับ  พี่ไม่รักเธอแล้วหรือว่าพี่เห็นว่างานมีความสำคัญกว่าครอบครัวละครับ”

วนิดาตอบ  พร้อมกับยิ้มอย่างอารมณ์ดีว่า  “พี่ยังรักลูกและเห็นคุณค่าของครอบครัวและงานเหมือนเดิม  พี่โชคดีที่มีเพื่อนชาวอเมริกันคนหนึ่งเขาสังเกตเห็นวิธีที่พี่ช่วยลูกสาว  แล้ววันหนึ่งเขาก็ให้หนังสือเล่มหนึ่งชื่อ  The Power of Failure โดย Charles C. Manz และมีแปลเป็นไทยในชื่อ วิกฤติคือโอกาส  โดยพสุมดี กุลมา เรียบเรียงโดย นราทิป  นัยนา  เพื่อนอเมริกัน  เขาคั่นเรื่องหนึ่งให้พี่อ่านโดยเฉพาะเลย พี่จะเล่าให้เธอฟัง

เรื่องมีอยู่ว่า  มีชายคนหนึ่งนั่งมองผีเสื้อที่กำลังดิ้นรนจะออกจากรังไหม  เจ้าผีเสื้อดิ้นรนไปซักพักจนกระทั่งใยรังไหมเริ่มขาดเป็นรูเล็ก   ชายคนนั้นมองด้วยความสนใจ  เจ้าผีเสื้อดูเหมือนจะหยุดไป  ที่จริงผีเสื้อมันพักเพื่อที่จะดิ้นรนต่อไป  แต่ว่าชายคนนั้นคิดไปเองว่าผีเสื้อคงติดใยรังไหมไม่สามารถจะออกมาได้ด้วยตนเอง  ด้วยความหวังดี เขาจึงนำกรรไกรขนาดเล็กมาตัดใยรังไหมนั้น  ทำให้รูมันขยายใหญ่ขึ้น

เจ้าผีเสื้อเห็นรูขยายใหญ่ขึ้นมันก็คลานต้วมเตี้ยมออกมา  แต่เขาสังเกตว่าตัวมันมีขนาดเล็กกว่าปกติ  ปีกเหี่ยวย่น  แถมลำตัวของเจ้าผีเสื้อก็มีลักษณะบวมผิดปกติ

กลายเป็นว่าในขณะที่ผีเสื้อต้องดิ้นรนออกแรงตะเกียกตะกายเพื่อพยายามจะดันตัวมันออกมาจากรังไหมนั้น  เป็นกระบวนการทางธรรมชาติ  ที่จะกระตุ้นให้ของเหลวชนิดหนึ่งที่อยู่ในลำตัวผีเสื้อเคลื่อนที่มาสู่ปีกเพื่อทำให้ปีกแข็งแรงเพียงพอที่จะบินได้  ด้วยความปรารถนาดีของชายผู้นั้นผีเสื้อตัวดังกล่าวปีกจึงเหี่ยวย่น  ไมแข็งแรงเพียงพอที่จะบินได้  แถมยังมีรูปร่างพิกลพิการ  เพราะของเหลวที่ควรจะอยู่ที่ปีกดันไปติดคั่งค้างอยู่ที่ลำตัว  เจ้าผีเสื้อตัวนี้ออกจากใยมาได้ด้วยความสบาย  แต่ต้องพิกลพิการและบินไม่ได้ไปชั่วชีวิตของมัน

อุปสรรคและความล้มเหลวในชีวิตของคนก็คล้ายกับสิ่งที่เจ้าผีเสื้อตัวนี้เผชิญ  ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้  ความก้าวหน้าในชีวิต  การพัฒนาทักษะ  ความกล้าหาญ  ความมุ่งมั่น  ล้วนแล้วแต่น่าสงสารและน่าเห็นใจ  แต่จะได้คุณค่ามา  ก็ด้วยการล้มเหลวอย่างถูกวิธี  เราจะคาดหวังว่าคนเราจะประสบความสำเร็จในชีวิตโดยไม่มีความล้มเหลวนั้นเป็นไปไม่ได้  เมื่อเราเผชิญอุปสรรค  แล้วเราหลีกเลี่ยงที่จะแก้ไขหรือต่อสู้กับมัน  เท่ากับว่าเรากำลังเสียโอกาสสำคัญในการเรียนรู้บทเรียนที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในชีวิตของคน 

กิตติฟังด้วยความสนใจ  “โอ้โฮ  เรื่องนี้จุดประกายน่าดูครับ  แต่ผมกลัวว่าลูกผมจะเกลียดผมนะซีครับ”

วนิดาเสริมต่อ  “มีคำพูดที่ว่า ‘No pain No gain’  ไม่เจ็บไม่ได้เรียนรู้  ที่จริงพวกเรานะผิดเองที่ป้อนลูกเรามากไป  สำหรับกรณีของพี่  พี่อธิบายให้ลูกเขาเข้าใจด้วยการเล่าเรื่องนี้แหละ  หลังจากนั้นพี่ก็ขอโทษสำหรับการให้ความช่วยเหลือลูกแบบผิด ๆ  ในอดีต  ลูกของเราฉลาดพอจะเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้นะ  

กิตติคุณลองมองไปรอบตัวเราซิ  เรามีพนักงานที่มีความรู้  มาจากครอบครัวที่มีฐานะ  หลายคน ที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ  พวกเขาไม่อดทนต่อปัญหาและอุปสรรค  คนที่ควรถูกตำหนิคือพ่อแม่ของเขา                    

คุณอยากถูกคนอื่นเขาต่อว่าแบบนี้ในอนาคตไหมละ  แถมลูกของเรายังอ่อนแอไม่สามารถจะฟันฝ่าปัญหาอุปสรรคได้  คุณมีสิทธิ์เลือกนะคะ”