แนวทางการสนับสนุนให้เกิดความคิดริเริ่มในองค์กร

1. Initiative หรือความคิดริเริ่มคืออะไร

2. ความคิดริเริ่มมีประโยชน์อย่างไร

3. เราจะทำอย่างไรให้พนักงานมีความคิดริเริ่ม

4. มีตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมอะไรบ้าง

5. วัฒนธรรมองค์กรแบบไหนที่เกื้อหนุนความคิดริเริ่ม

6. ภาวะผู้นำแบบไหนที่สนับสนุนให้คนกล้ามีความคิดริเริ่ม

7. ตัวอย่างจากหนังสือ  QBQ! The Question Behind the Question

1. ความคิดริเริ่มคืออะไร

ความคิดริเริ่ม (Initiative) คือความสามารถในการดำเนินการหรือตัดสินใจโดยไม่ต้องรอคำสั่งหรือคำแนะนำจากผู้อื่น มันเป็นคุณลักษณะที่สะท้อนถึงความมั่นใจ ความรับผิดชอบ และความสามารถในการแก้ปัญหา

2. ความคิดริเริ่มมีประโยชน์อย่างไร

– ส่งเสริมความสร้างสรรค์และนวัตกรรม

– ลดภาระของผู้นำโดยทำให้ทีมสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องรอคำสั่ง

– เพิ่มความเห็นอกเห็นใจและความรู้สึกที่มีส่วนร่วมในองค์กร

3. เราจะทำอย่างไรให้พนักงานมีความคิดริเริ่ม

1. สร้างวัฒนธรรมที่เปิดกว้าง: ให้พนักงานรู้สึกว่าเขามีสิทธิ์และอิสระในการเสนอความคิด

2. รับฟังและให้ข้อเสนอแนะ: ตอบรับความคิดริเริ่มและให้ข้อเสนอแนะที่สร้างสรรค์

3. ให้รางวัลและแรงจูงใจ: ให้ค่าตอบแทนหรือรางวัลเมื่อพนักงานแสดงความคิดริเริ่มที่ดี

4. มีตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมอะไรบ้าง

– การสร้างโปรเจคหรืองานย่อย ๆ ให้พนักงานรับผิดชอบ

– การจัดงานประชุมที่ให้พนักงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ

– การให้พนักงานเข้าร่วมในการวางแผนหรือตั้งเป้าหมาย

5. วัฒนธรรมองค์กรแบบไหนที่เกื้อหนุนความคิดริเริ่ม

– วัฒนธรรมที่เน้นการเรียนรู้และการพัฒนา

– วัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับการทำงานเป็นทีมและการสื่อสารที่เปิดเผย

6. ภาวะผู้นำแบบไหนที่สนับสนุนให้คนกล้ามีความคิดริเริ่ม

– ผู้นำที่เปิดใจรับฟังและยินดีรับความคิดเห็น

– ผู้นำที่สามารถให้ข้อเสนอแนะและแรงจูงใจในทิศทางที่ถูกต้อง

– ผู้นำที่มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์

7. ตัวอย่างจาก John G. Miller’ ผู้เขียนหนังสือ  “QBQ! The Question Behind the Question” มีแปลเป็นไทยในชื่อ “เปลี่ยนคำถามชีวิตเปลี่ยน” หรือถ้าแปลตรง ๆ ก็อาจจะแปลได้ว่า “คำถามเบื้องหลังคำถาม”

John เล่าถึงประสบการณ์เมื่อเขาไปทานอาหารกลางวันในร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งมีลูกค้าแน่นเต็มร้าน  

หลังจากหาที่นั่งได้  บริกรคนหนึ่งซึ่งเดินยกถาดใส่จานที่ใช้แล้วและกำลังจะนำกลับไปล้างในครัวเดินผ่านเขาไปด้วยท่าทีร้อนรน  อย่างไรก็ตามบริกรคนนั้นยังสังเกตเห็นเขาจึงวางถาดลง

เขาเดินมาแนะนำตัวว่า  “ผมชื่อจาค๊อบครับ ไม่ทราบว่ามีใครมารับรายการอาหารของคุณแล้วหรือยังครับ” จอห์นตอบว่ายัง จาค๊อบจึงลงมือจดรายการอาหารด้วยท่าทีกระฉับกระเฉง

จอห์นสั่งว่า “ขอสลัด ขนมปังโรลล์และไดเอ็ทโค๊ก” จาค๊อบตอบว่า “ร้านเรามีแต่ไดเอ็ทเป๊ปซี่ได้ไหมครับ” จอห์นตอบกลับไปอย่างอารมณ์ดีว่า “ไม่เป็นไรครับขอนํ้าเปล่าก็แล้วกัน”

สักพักอาหารก็มาตามสั่ง  

หลังจากจอห์นรัปประทานไปได้สักครู่จาค๊อบก็เดินมาหาเขาอย่างกระตือรือร้นพร้อมกับไดเอ็ทโค๊ก 

จอห์นยิ้มด้วยความแปลกใจพร้อมกับถามไปว่า  “ขอบคุณมาก ไหนคุณบอกว่าร้านคุณไม่มีขายไงละ”  

จาค๊อบตอบว่า  “เราซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อมุมถนนครับ”  

จอห์นถามต่อว่า  “แล้วใครจ่ายละ”  จาค๊อบตอบว่า “ผมเองครับ  แค่เหรียญเดียว”  จอห์นถามต่อด้วยความอยากรู้  “คุณดูยุ่งมากเลยออกไปซื้อตอนไหนละ”  จาค๊อบตอบ  “ผมรบกวนผู้จัดการร้านไปซื้อให้ครับ” 

นี่ไงครับตัวอย่างของ “ความคิดริเริ่มคือการลงมือทำในสิ่งที่ถูกต้องโดยไม่ต้องมีใครสั่งให้ทำ”

อย่างไรก็ตาม ในวัฒนธรรมองค์กรที่ยังยึดติดแบบอาวุโส วิธีนี้อาจจะไม่เวิร์ค

สรุป: 

ดังนั้น หากจะให้พนักงานมีความคิดริเริ่ม 

ผู้บริหารอาจจะต้องสร้างวัฒนธรรมองค์กร

ที่สนับสนุนให้คนเกิดพฤติกรรมที่ริเริ่มสร้างสรรค์ให้ได้ก่อนครับ