ต่อเป็นหัวหน้าทีมวิจัยทีมงานหนึ่ง ในฝ่ายวิจัย องค์กรหนึ่ง
ทีมงานเขาเป็นคนรุ่นใหม่ 4 คนที่เพิ่งจบปริญญาโทและเอกจากต่างประเทศ
ทุกคนเชื่อมั่นและไว้วางใจกับพี่ต่อมาก จึงมีความคุ้นเคยกันสูง
ดังนั้น หากมอบงานไหน ที่พวกเขาคิดว่าไม่ควรทำ พวกเขาก็จะปฎิเสธ
ยกเว้นว่าพี่ต่อจะมีเหตุผลดีเพียงพอมาโน้มน้าวพวกเขา
เช้าวันหนึ่ง ฝ่ายธุรการมีงานด่วน ที่ต้องการคนไปพับจดหมายใส่ซองจำนวนหลายหมื่นซอง
สาเหตุเนื่องมาจากเครื่องพับซองอัตโนมัติเสียกระทันหันเช้านี้
จึงขอความร่วมมือมาที่คุณต่อ รบกวนขอให้ส่งทีมงาน 4 คนมาช่วยในช่วงบ่ายวันนี้
ต่อเห็นว่างานในบ่ายวันนี้ของทีมงาน ไม่มีอะไรเร่งด่วน
จึงบอกไปว่ายินดีที่จะช่วย แต่ต้องขอหารือกับทีมงานก่อน
เมื่อต่อมาถามทีมงานว่า “พี่ขอรบกวนให้พวกเราไปช่วยงานด่วนนี้หน่อยนะ”
ทั้งสี่คนต่างร้อง “ยี้” และขอปฎิเสธไม่ไปทำได้ไหม
นัดดาซึ่งเป็นหัวโจกหนึ่งในสี่ของทีมต่อรองแบบแบ่งรับแบ่งสู้ ว่า
“พี่ต่อจะเอาดาบซามูไรไปหั่นผักหรือคะ
พวกเราอุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเล ไปเรียนโทและเอกจากต่างประเทศ
ให้พวกเราเอาเวลาไปทำงานอื่น ที่มีคุณค่ามากกว่าพับซองจะดีกว่าไหมคะ”
พี่ต่อจึงโน้มน้าวทีมงานไปว่า
“งานนี้ ดูแล้วอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะอะไร ใคร ๆ ก็ทำได้ครับ
แต่ว่าเนื่องจากมันเป็นงานด่วน และคนอื่น ๆ ก็ไม่พร้อมที่จะมาช่วยในบ่ายนี้
พี่เห็นว่าพวกเราช่วงบ่ายนี้พอจัดการเวลาได้ จึงอยากขอให้ไปช่วย
เหตุผลก็คือ เราเองต้องพึ่งพาฝ่ายธุรการบ่อย ๆ เพราะเราเองก็มีงานเร่งด่วนเช่นกัน
ที่ต้องเตรียมรายงานวิจัย โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปีแบบนี้
เรามักจะต้องไปขอความช่วยเหลือจากฝ่ายนี้อยู่แล้วเป็นประจำ
การที่พวกเราทั้ง 4 คนไปช่วย ทำให้เราทุกคนคุ้นเคยกับพี่ ๆ ในห้องธุรการ
วันหลังใครฉุกเฉินต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน
เราก็สามารถไปขอความร่วมมือจากพี่เหล่านั้นได้เองไง
โดยไม่ต้องพึ่งพา พี่ต่อ ให้บากหน้าไปกรุยทางให้เหมือนในอดีต
ที่พี่ทำได้ก็เพราะพี่เองก็เคยไปช่วยแบกหามให้พี่ ๆ เขาในอดีตนั่นเอง
ดังนั้นมันจึงไม่ใช่การเอาซามูไรไปหั่นผักครับ แต่เป็นเรื่องของ นำ้พึ่งเรือ เสือพึ่งป่า
เป็นเรื่องของการถ้อยทีถ้อยอาศัย ระหว่างทีมงานในองค์กรเดียวกันครับ”
ทีมงานฟังแล้วก็ “ซื้อ” ไอเดีย แล้วรีบกระวีกระวาดไปช่วยงานนั้นทันที