บทบาทหน้าที่ของ CEO และการใช้เวลา

บทบาทและหน้าที่ของ CEO หรือประธานบริหาร (Chief Executive Officer) นั้นมีความสำคัญและมีหลากหลายมิติในการบริหารจัดการองค์กร โดยปกติแล้ว CEO จะมีหน้าที่หลักดังนี้:

1. กำหนดทิศทางและวิสัยทัศน์ขององค์กร: CEO ต้องสามารถกำหนดและชี้นำทิศทางขององค์กรให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจและสภาพแวดล้อมที่คอยเปลี่ยนไปอยู่เสมอ

2. การตัดสินใจระดับสูง: CEO ต้องทำการตัดสินใจเกี่ยวกับปัญหาสำคัญต่างๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อองค์กรโดยรวม

3. การจัดการและพัฒนาทีมผู้บริหาร: CEO ต้องสามารถสร้างทีมผู้บริหารที่มีความสามารถและมีประสิทธิภาพ เพื่อนำพาองค์กรไปสู่เป้าหมายที่กำหนด

4. การสื่อสารกับผู้ถือหุ้นและสาธารณะ: CEO จำเป็นต้องสามารถสื่อสารกับผู้ถือหุ้นและสาธารณะเกี่ยวกับแผนการดำเนินงานและผลการดำเนินงานขององค์กร

5. การพัฒนาและรักษาวัฒนธรรมองค์กร: CEO ต้องรักษาและพัฒนาวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน นวัตกรรม และความยั่งยืน

6. การวางแผนและการประเมินผล: CEO ต้องทำการวางแผนกลยุทธ์ในระยะยาวและระยะสั้น รวมทั้งการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานเพื่อให้แน่ใจว่าองค์กรบรรลุเป้าหมาย

7. การบริหารความเสี่ยง: CEO ต้องจัดการกับความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นและวางแผนในการบริหารจัดการความเสี่ยงเหล่านั้น

ความสำเร็จขององค์กรมักขึ้นอยู่กับความสามารถของ CEO ในการทำหน้าที่เหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เวลาที่จัดสรรให้กับบทบาทหน้าที่ในแต่ละบริบทเป็นอย่างไร

การจัดสรรเวลาให้กับบทบาทหน้าที่ของ CEO นั้นจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รวมถึงลักษณะขององค์กร ขนาดของบริษัท ระยะของการเติบโต อุตสาหกรรมที่บริษัทดำเนินการ และเป้าหมายเฉพาะในระยะสั้นและระยะยาว 

เวลาที่จัดสรร หากวิเคราะห์ตามสถานการณ์ 5 ช่วงคือ

1. ช่วงบริษัทเริ่มต้น 

2. ช่วงบริษัทเติบโต 

3. ช่วงบริษัทรักษาระดับ (การเติบโตคงที่) 

4. ช่วงบริษัทเริ่มถดถอย 

5. ช่วงบริษัทตกต่ำ 

ช่วงบริษัทเริ่มต้น (Startup Phase):

– กำหนดทิศทางและวิสัยทัศน์: 25%

– การตัดสินใจระดับสูง: 20%

– การจัดการและพัฒนาทีมผู้บริหาร: 15%

– การสื่อสารกับผู้ถือหุ้นและสาธารณะ: 5%

– การพัฒนาและรักษาวัฒนธรรมองค์กร: 15%

– การวางแผนและการประเมินผล: 10%

– การบริหารความเสี่ยง: 10%

ช่วงบริษัทเติบโต (Growth Phase):

– กำหนดทิศทางและวิสัยทัศน์: 20%

– การตัดสินใจระดับสูง: 15%

– การจัดการและพัฒนาทีมผู้บริหาร: 20%

– การสื่อสารกับผู้ถือหุ้นและสาธารณะ: 10%

– การพัฒนาและรักษาวัฒนธรรมองค์กร: 15%

– การวางแผนและการประเมินผล: 15%

– การบริหารความเสี่ยง: 5%

ช่วงบริษัทรักษาระดับ (Maturity Phase):

– กำหนดทิศทางและวิสัยทัศน์: 15%

– การตัดสินใจระดับสูง: 10%

– การจัดการและพัฒนาทีมผู้บริหาร: 15%

– การสื่อสารกับผู้ถือหุ้นและสาธารณะ: 20%

– การพัฒนาและรักษาวัฒนธรรมองค์กร: 20%

– การวางแผนและการประเมินผล: 15%

– การบริหารความเสี่ยง: 5%

ช่วงบริษัทเริ่มถดถอย (Decline Phase):

– กำหนดทิศทางและวิสัยทัศน์: 15%

– การตัดสินใจระดับสูง: 20%

– การจัดการและพัฒนาทีมผู้บริหาร: 10%

– การสื่อสารกับผู้ถือหุ้นและสาธารณะ: 15%

– การพัฒนาและรักษาวัฒนธรรมองค์กร: 10%

– การวางแผนและการประเมินผล: 20%

– การบริหารความเสี่ยง: 10%

ช่วงบริษัทตกต่ำ (Turnaround/Crisis Phase):

– กำหนดทิศทางและวิสัยทัศน์: 20%

– การตัดสินใจระดับสูง: 25%

– การจัดการและพัฒนาทีมผู้บริหาร: 10%

– การสื่อสารกับผู้ถือหุ้นและสาธารณะ: 10%

– การพัฒนาและรักษาวัฒนธรรมองค์กร: 5%

– การวางแผนและการประเมินผล: 20%

– การบริหารความเสี่ยง: 10%

ในแต่ละช่วงเวลา การจัดสรรเวลาต่างกันไปตามสถานการณ์และความเร่งด่วนของประเด็นที่เกิดขึ้น 

อาจต้องพิจารณาและปรับเปลี่ยนการจัดสรรเวลานี้อย่างยืดหยุ่นเพื่อให้ตรงกับบริบท และความต้องการขององค์กรในแต่ละช่วงเวลา 

ดังนั้นซีอีโอจึงต้องมีดุลพินิจที่ดีในการ ประเมินสถานการณ์ให้ออก แล้วจึงเลือกวิธีให้เหมาะ