ความตระหนักรู้ในตนเอง (Self-awareness)

1. ความตระหนักรู้ในตนเองคืออะไร

ความตระหนักรู้ในตนเองหรือ Self-awareness คือความเข้าใจและความรู้เกี่ยวกับตนเอง เป็นการรู้จักความรู้สึก ความคิด ค่านิยม และพฤติกรรมของตนเองอย่างชัดเจน และมีความเข้าใจถึงว่าเหตุใดคุณทำสิ่งบางอย่างหรือรู้สึกอย่างหนึ่งในสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น

2. ความตระหนักรู้ในตนเองมีประโยชน์อย่างไร

ความตระหนักรู้ในตนเอง มีความสำคัญมากใน การพัฒนาตนเอง และการพัฒนาภาวะผู้นำ เพราะว่าทำให้:

1. เข้าใจตนเองมากขึ้น: ความตระหนักรู้ช่วยให้คุณรู้ว่าคุณคือใคร มีความสามารถอะไร มีจุดแข็ง และจุดอ่อน อย่างไร มีความเชื่ออย่างไร ทำให้คุณสามารถใช้ความรู้เหล่านี้ในการตัดสินใจและการดำเนินการในชีวิต

2. เพิ่มความสามารถในการเข้าสังคม: การมีความตระหนักรู้ในตนเองช่วยให้คุณเข้าสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากคุณสามารถเข้าใจและรับฟังความคิดและความรู้สึกของคนอื่นได้ดีขึ้น

3. การพัฒนาสัมพันธภาพและความสัมพันธ์: ความเข้าใจตนเองช่วยให้คุณสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น โดยการมีความสามารถในการรับรู้และการปรับตัวตนให้เหมาะสมกับความต้องการของคนอื่น

4. การควบคุมอารมณ์: ความตระหนักรู้ช่วยให้คุณรู้สึกถึงอารมณ์ของตนเองและเข้าใจถึงสาเหตุของอารมณ์เหล่านั้น ซึ่งทำให้คุณสามารถควบคุมและจัดการกับอารมณ์ได้ดีขึ้น

5. การพัฒนาสมรรถภาพและประสิทธิภาพ: การมีความตระหนักรู้ในตนเองช่วยให้คุณสามารถพัฒนาทักษะและความสามารถของตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ และการปรับปรุงการทำงานของคุณ

ความตระหนักรู้ในตนเองเป็นทักษะที่สำคัญในการพัฒนาตนเองและในการประสบความสำเร็จในชีวิตทั่วไป มันเป็นการเริ่มต้นสำคัญในการเข้าใจและสร้างความเป็นไปได้ในสิ่งที่คุณต้องการในชีวิต

เป็นกระดุมเม็ดแรกที่สำคัญในการพัฒนาตนเอง ที่คนส่วนใหญ่มองข้าม

3. ความตระหนักรู้ในตนเองมีกี่ระดับ

ระดับของความตระหนักรู้มีหลายระดับและสามารถแบ่งแยกได้ดังนี้:

1. ระดับต่ำ (Low Awareness): บุคคลในระดับนี้มักไม่มีความตระหนักรู้ หรือคิดไม่มากเกี่ยวกับตนเอง พวกเขาอาจไม่รู้ถึงความรู้สึก ความคิด และพฤติกรรมของตนเองมากนัก

2. ระดับปานกลาง (Moderate Awareness): บุคคลในระดับนี้มีความตระหนักรู้ในบางส่วนของตนเอง พวกเขาอาจรู้จักความรู้สึกและความคิดของตนเองบ้าง แต่อาจยังไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างความรู้สึกและพฤติกรรมของตนเอง

3. ระดับสูง (High Awareness): บุคคลในระดับนี้มีความตระหนักรู้ในตนเองอย่างมาก พวกเขามีความเข้าใจถึงความรู้สึก ความคิด และพฤติกรรมของตนเอง มองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างความรู้สึกและพฤติกรรมของตนเอง

4. ระดับสูงสุด (Highest Awareness): บุคคลในระดับนี้มีความตระหนักรู้ในตนเองอย่างสูงสุด พวกเขามีความเข้าใจเชิงลึกถึงความรู้สึก ความคิด และพฤติกรรมของตนเอง มองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างความรู้สึกและพฤติกรรมของตนเอง และสามารถบูรณาการความตระหนักรู้ที่สูงนี้เพื่อใช้ในการพัฒนาตนเองและส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในชีวิตเขา

4. เราจะพัฒนาความตระหนักรู้ในตนเองให้มากขึ้นได้อย่างไร

ความตระหนักรู้มากขึ้นเป็นกระบวนการที่ใช้เวลาและความพยายาม มีแนวทางดังนี้:

1. การสังเกตตนเอง: ทำความเข้าใจถึงความรู้สึก ความคิด และพฤติกรรมของคุณในสถานการณ์ต่าง ๆ โดยรวมถึงที่มาและเหตุผลที่อาจส่งผลต่อพฤติกรรมของคุณ

2. การทบทวนตนเอง: พิจารณาถึงประสบการณ์ในชีวิตของคุณ เช่น ความสำเร็จ ความล้มเหลว และการเปลี่ยนแปลง มองย้อนกลับเพื่อเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างประสบการณ์เหล่านี้และความตระหนักรู้ในตนเอง

3. การตั้งคำถามเกี่ยวกับตนเอง: ตั้งคำถามที่ช่วยให้คุณเข้าใจตนเองมากขึ้น เช่น

เราเกิดมาเพื่ออะไร

เรามีพันธกิจอย่างไร

เรามีค่านิยมอะไร

4. การฟังความคิดเห็นของผู้อื่น: รับคำแนะนำและความคิดเห็นจากผู้อื่น บางครั้งคนอื่นอาจมอบความรู้สึกและความรู้ที่มีเกี่ยวกับคุณที่คุณยังไม่เห็น

5. การบันทึกความคิด: เขียนบันทึก รายวัน หรือรายสัปดาห์ เกี่ยวกับความรู้สึก ความคิด และประสบการณ์ของคุณ การเขียนช่วยให้คุณมีโอกาสสังเกตและวิเคราะห์ตนเองอย่างลึกซึ้ง

6. ปรึกษา Coach / Mentor / หัวหน้า: การมีใครบางคนช่วยสะท้อนความคิด และแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับความคิดของเรา ทำให้กระบวนการพัฒนาตนเองและการเข้าใจตนเองมีประสิทธิผลมากขึ้น

7. การรับผิดชอบต่อตนเอง: รับผิดชอบในความรู้สึกและพฤติกรรมของคุณ การเรียนรู้จากข้อผิดพลาดและทำให้มันเป็นประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์

8. การวางแผนและการตั้งเป้าหมาย: วางแผนการพัฒนาตนเองและตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาความตระหนักรู้ในตนเอง

การเข้าใจตนเองเป็นกระบวนการที่ต้องพัฒนาต่อเนื่อง และมีประโยชน์ในการช่วยคุณดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขและมั่นคงมากขึ้น โดยที่คุณจะมีความเข้าใจถึงความต้องการของตนเองและสามารถใช้ความรู้สึกนี้ในการตัดสินใจและการแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4.1 มีข้อเสนอแนะอะไรอื่นอีกเกี่ยวกับเรื่องของความตระหนักรู้ในตนเอง

แน่นอน! มีวิธีอื่น ๆ ที่คุณสามารถใช้เพื่อเข้าใจตนเองมากขึ้นด้วย:

1. การสนับสนุนจากกลุ่ม: เข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนหรือกลุ่มที่มีความสนใจที่เหมือนกัน การแชร์ประสบการณ์และการสนทนากับผู้อื่นที่มีประสบการณ์และความคิดเห็นที่คุณคาดหวังอาจช่วยในกระบวนการเข้าใจตนเอง

2. การใช้เครื่องมือการพัฒนาตนเอง: มีเครื่องมือและแหล่งข้อมูลออนไลน์มากมายที่ช่วยในการวัดและพัฒนาความตระหนักรู้ในตนเอง เช่น การทำแบบทดสอบบุคลิกภาพ หนังสือที่เกี่ยวกับพัฒนาบุคลิกภาพ และแอพพลิเคชันการพัฒนาตนเอง

3. การประสานงานกับบุคคลที่ใกล้ชิด: พูดคุยและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนที่คุณใกล้ชิด เข้าใจความรู้สึกและความคิดของพวกเขาและขอให้พวกเขากลับมาทำเช่นเดียวกับคุณ

4. การสำรวจในสถานการณ์ที่ความเข้าใจตนเองเป็นสิ่งสำคัญ: ลองสำรวจความเข้าใจตนเองในสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจหรือแก้ปัญหา การแสดงความรู้สึกและตัวเลือกที่คุณทำในสถานการณ์เหล่านี้อาจช่วยในการเข้าใจตนเองมากขึ้น

5. การปฏิบัติสมาชิกศาสนาหรือปรัชญา: บางครั้งการรับศาสนาหรือปรัชญาช่วยในการพัฒนาความเข้าใจตนเอง เนื่องจากมันช่วยในการหาความหมายและจุดประสงค์ในชีวิต

การเข้าใจตนเองเป็นกระบวนการยาวนานและผสมผสานระหว่างการสังเกต การทบทวน การสนับสนุนจากผู้อื่น และการใช้เครื่องมือที่เหมาะสม เป็นที่เริ่มต้นในการพัฒนาความรู้เกี่ยวกับตนเองและช่วยให้คุณใช้ความรู้นี้ในการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขและมั่นคงมากขึ้น

5. การทำแบบสอบถามทางจิตวิทยาช่วยให้เราเกิดความตระหนักรู้ในตนเองเพิ่มขึ้นได้อย่างไร

การทำแบบสอบถามทางจิตวิทยา ช่วยในการทำให้เกิดความตระหนักรู้ได้ดีมากขึ้น เพราะมันสร้างโอกาสให้คุณประเมินตนเองในมิติต่าง ๆ ได้ สิ่งนี้มีผลบังคับต่อการพัฒนาตนเอง ความเข้าใจถึงความรู้สึก ความคิด และพฤติกรรมของคุณ:

1. การรับรู้ความรู้สึกและอารมณ์: การตอบแบบสอบถามทางจิตวิทยาช่วยให้คุณรับรู้ความรู้สึกและอารมณ์ของตนเองอย่างชัดเจนมากขึ้น ช่วยในการจัดการกับอารมณ์และการควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น

2. การเข้าใจพฤติกรรม: การทำแบบสอบถามช่วยให้คุณเข้าใจถึงพฤติกรรมของตนเองในสถานการณ์ที่ต่าง ๆ ช่วยในการระบุและแก้ไขพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์หรือไม่เหมาะสม

3. การพัฒนาทักษะส่วนตัว: การทำแบบสอบถามทางจิตวิทยาช่วยให้คุณพัฒนาทักษะส่วนตัว เช่น การตัดสินใจ, การแก้ปัญหา, การจัดการความขัดแย้ง, และการสร้างสรรค์

4. การเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ: สำหรับผู้นำ, การทำแบบสอบถามทางจิตวิทยาช่วยให้คุณมีความตระหนักรู้เกี่ยวกับแบบแสดงความเห็นของคนในทีมหรือองค์กร และช่วยในการสร้างสรรค์วิธีการที่ดียิ่งขึ้นในการเป็นผู้นำ

5. การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี: การสนับสนุนผู้อื่นในการทำแบบสอบถามทางจิตวิทยาช่วยให้คุณสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น โดยการรับฟังและเข้าใจความคิดและความรู้สึกของคนอื่น

6. การเป็นผู้แก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพ: การทำแบบสอบถามทางจิตวิทยาช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบปัญหาและมีความตระหนักรู้เกี่ยวกับตัวเลือกที่เป็นไปได้ในการแก้ไขปัญหา

7. การวางแผนและการตั้งเป้าหมาย: การทำแบบสอบถามช่วยให้คุณสามารถวางแผนและตั้งเป้าหมายในการพัฒนาตนเองในทางที่ชัดเจน

8. การพัฒนาความสามารถในการสังเกตและปรับปรุงตนเอง: การทำแบบสอบถามทางจิตวิทยาช่วยให้คุณสามารถพัฒนาความสามารถในการสังเกตตนเองและปรับปรุงตนเองในด้านต่าง ๆ ของชีวิต

9. การสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต: การทำแบบสอบถามช่วยให้คุณมีส่วนร่วมในการเรียนรู้เกี่ยวกับตนเองตลอดชีวิต และการพัฒนาในด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง

การทำแบบสอบถามทางจิตวิทยาเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสร้างความตระหนักรู้ในตนเอง ช่วยให้คุณเข้าใจและตอบสนองต่อความรู้สึกและพฤติกรรมของคุณอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

6. หากเราทำแบบสอบถามทางจิตวิทยาเพื่อให้ตระหนักรู้ในตนเองเพิ่มขึ้นหลายแบบเช่น Strengthsfinder MBTI DISC Big 5 จะมีผลอย่างไร

การทำแบบสอบถามทางจิตวิทยาหลายแบบ เช่น Strengthsfinder, MBTI (Myers-Briggs Type Indicator), DISC, และ Big Five Personality Traits, สามารถช่วยเพิ่มความตระหนักรู้ในตนเองได้ในด้านต่าง ๆ และมีผลในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้:

1. Strengthsfinder: Strengthsfinder ช่วยให้คุณรู้จักความสามารถและพลังของตนเอง โดยการระบุ Strengths หรือจุดแข็งของคุณ การรู้ว่าคุณมีความสามารถในด้านใด ๆ ช่วยให้คุณสามารถใช้ความสามารถเหล่านี้ในการตัดสินใจและการดำเนินการในชีวิต

2. MBTI (Myers-Briggs Type Indicator): MBTI ช่วยให้คุณเข้าใจแนวโน้มในการคิด, รู้สึก, และการตัดสินใจของคุณ โดยการแบ่งบุคคลในกลุ่มประเภทบุคลิกภาพที่ต่างกัน 16 ประเภท การรู้ว่าคุณอยู่ในประเภทใดช่วยให้คุณเข้าใจตนเองและคนอื่นได้ดียิ่งขึ้น

3. DISC: DISC ช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมและสไตล์การปฏิบัติงานของคุณ โดยการแบ่งบุคคลในกลุ่มประเภทการทำงานที่ต่างกัน มีสี่ประเภทหลักคือ Dominance (D), Influence (I), Steadiness (S), และ Conscientiousness (C) การรู้ว่าคุณมีสไตล์การทำงานแบบใดช่วยให้คุณสามารถเข้าใจตัวเองและการสื่อสารกับคนอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

4. Big Five Personality Traits: Big Five Personality Traits ประกอบด้วยคุณสมบัติที่วัดได้ใน 5 ด้านคือ Openness (ความเปิดรับ), Conscientiousness (ความรอบรู้), Extraversion (ความสนุกสนาน), Agreeableness (ความสัมพันธ์ได้ดี), และ Neuroticism (ความเครียด) การทำแบบสอบถามเหล่านี้ช่วยให้คุณเข้าใจลักษณะการกระทำและความสามารถในด้านต่าง ๆ ของตนเอง รวมถึงความรู้สึกและพฤติกรรมที่อาจเกิดขึ้นในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง

การทำแบบสอบถามเหล่านี้ช่วยให้คุณมีสมาธิและความตระหนักรู้ในตนเองอย่างมากขึ้น และช่วยในการพัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ ของชีวิต แต่ควรจำไว้ว่าบุคคลแต่ละคนมีความหลากหลายในลักษณะและลักษณะบุคลิกภาพของตนเอง การทำแบบสอบถามเหล่านี้เป็นเพียงเครื่องมือช่วยในการเริ่มต้นในการพัฒนาตนเองและความตระหนักรู้ในตนเอง

หมายเหตุ:

บทความนี้ใช้ Chat GPT ช่วยเขียน รวมเวลา 1 ชั่วโมง

หากเขียนเองโดยไม่ใช้ Chat GPT จะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง 

และได้เนื้อหาประมาณ 75%  

ข้อดีคือ

1. ลดเวลาทำงานลง 2 ชั่วโมง หรือ 66% 

2. คุณภาพเพิ่มขึ้น 33%