ความขัดแย้งในทีมงานเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่การจัดการกับมันอย่างถูกต้องจะเป็นคีย์ในการสร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพ
สาเหตุของความขัดแย้ง
- ความคิดเห็นหรือมุมมองที่ต่างกัน: เมื่อผู้คนมีมุมมองหรือความคิดเห็นที่ไม่เหมือนกัน
- การแข่งขันทรัพยากร: ข้อจำกัดของงบประมาณ หรือทรัพยากรอื่น ๆ
- ข้อบังคับหรือเป้าหมายที่ไม่ชัดเจน: สร้างความไม่เข้าใจและความสับสน
- ความแตกต่างทางวัฒนธรรมหรือสังคม: วัฒนธรรมส่วนตัวหรือพื้นหลังที่แตกต่าง
- การสื่อสารที่บกพร่อง: ข้อมูลที่ไม่เพียงพอหรือการสื่อสารที่ไม่ชัดเจน
Kenneth W. Thomas และ Ralph H. Kilmann ได้พัฒนาการจัดการความขัดแย้งในรูปแบบห้าสไตล์
เป็นแนวคิดที่ได้รับความนิยมในหลายๆ ด้าน อาทิ ธุรกิจ, การศึกษา, และการปรึกษาเชิงจิตวิทยา
วิธีการจัดการตามแนวทางนี้คือ
Competing: ใช้เมื่อต้องการความชัดเจนและความเร็วในการตัดสินใจ
Compromising: ประหยัดเวลาและสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นกลาง
Accommodating: สร้างความสัมพันธ์ที่ดีและสร้างบรรยากาศที่สนับสนุน
Avoiding: หลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น
Collaborating: หาคำตอบที่ทุกฝ่ายพอใจและสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน
ตัวอย่างวิธีการจัดการความขัดแย้งห้าวิธีกับสถานการณ์นี้
“ยอดขายบริษัทไม่เข้าเป้าหมาย ผจก.ขายเสนอให้ลดราคา ผจก.ตลาดเสนอให้แจกของแถม
หากคุณเป็นผจก.ทั่วไปที่เป็นหัวหน้าของทั้งสองคน คุณจะจัดการด้วยวิธีการแต่ละวิธีอย่างไร”
Competing: ในกรณีนี้ผจก.ทั่วไป อาจตัดสินใจให้ลดราคาหรือแจกของแถมโดยไม่สนใจความคิดเห็นของทั้งสองฝ่าย เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาทันที อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจส่งผลให้คนในทีมรู้สึกไม่ได้มีส่วนร่วม
Compromising: ผจก.ทั่วไป จะเสนอให้ทั้งสองฝ่ายหารือหาแนวทางที่ทั้งสองฝ่ายสามารถยอมรับ เช่น ลดราคาเล็กน้อยและแจกของแถมที่มีมูลค่าต่ำ
Accommodating: ผจก.ทั่วไป จะสร้างโอกาสให้แต่ละฝ่ายสามารถทดลองนำแนวทางของตนเองไปใช้ในช่วงเวลาที่กำหนด แล้วจึงวิเคราะห์ผลลัพธ์
Avoiding: ถ้าคิดว่าความขัดแย้งนี้ไม่จำเป็นต้องแก้ปัญหาทันที ผจก.ทั่วไป อาจเลื่อนการตัดสินใจไปในภายหลัง รอดูผลลัพธ์ของยอดขายในช่วงเวลาถัดไป
Collaborating: ผจก.ทั่วไป จะรวบรวมทีมทั้งสองฝ่ายเพื่อหารือและสร้างแนวทางใหม่ที่สอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัท การทำงานร่วมกันในรูปแบบนี้สร้างความเชื่อมั่นและเปิดโอกาสให้แต่ละฝ่ายเข้าใจมุมมองของกันและกันมากขึ้น
ไม่มีวิธีไหนดีที่สุด ขึ้นอยู่กับบริบท
ดังนั้น ดุลพินิจของผจก.ทั่วไปจึงสำคัญ
เพราะเขาต้องประเมินว่าวิธีไหนเหมาะบริบทที่สุด