ในองค์กรส่วนใหญ่จะมีคนหลากหลายรุ่นเช่น ผู้บริหารระดับสูงอายุประมาณ 35-55 ปี ผู้บริหารระดับกลาง 25-35 ปี และระดับปฎิบัติการ 20-30 ปี
ผู้บริหารระดับสูงและกลาง มักจะขาดความเข้าใจในความคิดคนในระดับปฎิบัติการ
ในขณะเดียวกันระดับปฎิบัติการ ก็อาจไม่เข้าใจผู้บริหารระดับกลางและสูง
เราจะบริหารความแตกต่างนี้อย่างไรดี
1. สิ่งที่ผู้บริหารระดับสูงควรเข้าใจคนรุ่นใหม่คืออะไร
2. ระดับปฎิบัติการควรเข้าใจผู้บริหารระดับกลางและสูงอย่างไร
3. องค์กรที่สามารถบริหารความแตกต่างได้ดี เขาทำกันอย่างไร
4. Reverse Mentoring จะเข้ามาช่วยได้อย่างไร
5. ตัวอย่างองค์กรที่ประสบความสำเร็จเรื่อง Reverse Mentoring
1. สิ่งที่ผู้บริหารระดับสูงควรเข้าใจคนรุ่นใหม่:
– ความเร็วในการเข้าถึงข้อมูล: รุ่นใหม่เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและรวดเร็ว ซึ่งทำให้พวกเขาต้องการการตอบสนองที่รวดเร็วและโปร่งใส
– ความหมายในงาน: รุ่นใหม่มักจะมองหาความหมายและจุดประสงค์ในงาน ไม่เพียงแต่เงินเดือนหรือสิทธิประโยชน์
– ความยืดหยุ่น: รุ่นใหม่มักจะค้นหาความยืดหยุ่นในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเวลาหรือสถานที่
2. สิ่งที่ระดับปฎิบัติการควรเข้าใจผู้บริหารระดับกลางและระดับสูง:
– ความรับผิดชอบ: ผู้บริหารยิ่งสูง ยิ่งมีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมากขึ้น ความรับผิดชอบของผู้บริหารคือการบริหารความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่หลากหลายซึ่งบ่อยครั้งความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมักจะไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกัน
– การตัดสินใจ: การตัดสินใจของผู้บริหารมักจะต้องผ่านกระบวนการที่ซับซ้อนและมีผลกระทบหลายด้าน รวมถึงต้องคำนึงถึงภาพรวมขององค์กรเป็นสำคัญ
– ความเป็นผู้นำ: ผู้บริหารมักจะมีความคาดหวังในการเป็นผู้นำ ซึ่งอาจจะต่างจากความคาดหวังของระดับปฎิบัติการ
3. องค์กรที่สามารถบริหารความแตกต่างได้ดี:
– การสื่อสารที่เปิดเผยและสองทาง: องค์กรที่ดีจะมีการสื่อสารที่เปิดเผยและสองทางระหว่างระดับต่าง ๆ
– การเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น: อาจจะเป็นการจัดงานกิจกรรมของทีม หรือการสร้างพื้นที่ให้พนักงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
– การฝึกอบรมและการพัฒนา: องค์กรที่ดีจะมีโปรแกรมการฝึกอบรมที่เน้นทั้งทักษะทางเทคนิคและทักษะทางอารมณ์
4. Reverse Mentoring จะเข้ามาช่วยได้อย่างไร
มีบางแห่งใช้ Reverse Mentoring เข้ามาช่วยจัดการเรื่องนี้ Reverse Mentoring คืออะไร มีขั้นตอนอย่างไร Do & Don’t คืออะไร
Reverse Mentoring คือการสลับบทบาทระหว่างผู้สอน (mentor) และผู้เรียน (mentee) ในทางปกติ ผู้ที่มีประสบการณ์หรืออายุมากกว่าจะเป็นผู้สอน แต่ใน Reverse Mentoring คนรุ่นใหม่หรือคนที่มีประสบการณ์น้อยกว่าจะเป็นผู้สอนให้กับผู้ที่มีประสบการณ์หรืออายุมากกว่า
ขั้นตอนในการดำเนิน Reverse Mentoring
1. การเลือกคู่: คัดเลือกผู้ที่จะเข้าร่วมในโปรแกรม โดยคำนึงถึงความต้องการทักษะหรือความรู้ที่ต้องการแลกเปลี่ยน
2. การตั้งเป้าหมาย: กำหนดเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของการทำ Reverse Mentoring
3. การประชุมเบื้องต้น: จัดประชุมระหว่าง mentor และ mentee เพื่อทำความรู้จักและตั้งเป้าหมาย
4. การดำเนินการ: ดำเนินการตามแผนที่กำหนด ซึ่งอาจจะรวมถึงการประชุมประจำ การสอน หรือการแลกเปลี่ยนความรู้
5. การประเมินและปรับปรุง: ทบทวนผลลัพธ์และปรับปรุงโปรแกรมให้ดียิ่งขึ้น
Do & Don’t
Do
– มีจิตใจที่เปิดกว้างและยินดีเรียนรู้
– กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและเป็นไปได้
– ให้คำติชมที่สร้างสรรค์และเป็นกันเอง
– มีการติดตามและประเมินผล
Don’t
– ไม่ควรมีความคิดที่ยึดเยี่ยงหรือไม่ยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น
– หลีกเลี่ยงการให้คำแนะนำที่ไม่เกี่ยวข้องหรือไม่เป็นจริง
– ไม่ควรละเลยหรือเพิกเฉยต่อความต้องการหรือความคิดเห็นของคู่ของคุณ
– ไม่ควรหยุดการพัฒนาหรือหยุดการเรียนรู้
5. ตัวอย่างองค์กรที่ประสบความสำเร็จเรื่อง Reverse Mentoring
มีองค์กรใดบ้างที่ประสบความสำเร็จในเรื่องของ Reverse Mentoring แต่ละองค์กรเขาทำอย่างไรบ้าง
การใช้ Reverse Mentoring ได้รับความนิยมในองค์กรหลายแห่ง และมีบางองค์กรที่ประสบความสำเร็จอย่างชัดเจน ขอยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพ:
1. General Electric (GE): ใน GE โปรแกรม Reverse Mentoring ถูกใช้เพื่อสอนผู้บริหารระดับสูงเกี่ยวกับเทคโนโลยีและโซเชียลมีเดีย การทำงานร่วมกันนี้ช่วยให้ผู้บริหารเข้าใจถึงความสำคัญของเทคโนโลยีในการดำเนินธุรกิจ
2. Procter & Gamble (P&G): ใน P&G Reverse Mentoring ถูกใช้เพื่อส่งเสริมความหลากหลายและความรวมมือ ผู้บริหารระดับสูงได้รับคำแนะนำจากพนักงานรุ่นใหม่เกี่ยวกับวิธีการทำงานและความคิดเห็นของรุ่นใหม่
3. Cisco Systems: ที่ Cisco Reverse Mentoring ถูกใช้เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และแชร์ความรู้ในด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ ผู้บริหารได้รับความรู้จากพนักงานรุ่นใหม่เกี่ยวกับเทคโนโลยีและเครื่องมือใหม่ ๆ ที่สามารถนำมาใช้ในองค์กร
วิธีการที่ทำให้ Reverse Mentoring ประสบความสำเร็จ
– การเลือกคู่ที่เหมาะสม: คัดเลือกคู่ที่มีความต้องการและความสามารถในการแลกเปลี่ยนความรู้
– การสนับสนุนจากผู้บริหาร: มีการสนับสนุนและเปิดโอกาสให้ผู้บริหารเข้าร่วม
– การติดตามและประเมินผล: มีการติดตามความคืบหน้าและประเมินผลอย่างสม่ำเสมอ
– การสร้างบรรยากาศที่เปิดเผย: สร้างบรรยากาศให้ทุกคนรู้สึกว่าเขามีส่วนร่วมและสามารถแสดงความคิดเห็นได้
การใช้ Reverse Mentoring อาจจะเป็นวิธีที่ดีในการสร้างสิ่งที่เรียกว่า “การเข้าใจและยอมรับความแตกต่าง” ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับองค์กรที่ยั่งยืนและประสบความสำเร็จ