เปลี่ยนตัวเองก่อนตกยุค

“เกรียงศักดิ์ ขอบคุณมากที่แนะนำลูกค้าใหม่ที่ฮ่องกงให้ คุณเป็นอย่างไรบ้างละ” ผมตอบกลับทางมือถือว่า

“สบายดีเพอร์รี่” เขาคือโค้ชผู้บริหารที่ฮ่องกง เรามักแนะนำลูกค้าให้กันเสมอ

“เพอร์รี่คุณเดินทางไปหลายประเทศนี่ ตอนนี้คนเขากังวลใจกันเรื่องอะไรบ้างละ”

“ไม่ว่าจะเป็นที่เกาหลี จีน อ เมริกา หรือฮ่องกงก็ตาม ตอนนี้มีสองเรื่องคือเรื่อง ความไม่แน่นอน และความไม่มั่นคงในงาน หลังจากที่คนส่วนใหญ่สำราญกับความเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ อยู่ ๆ เหตุการณ์มันกลับตะละปัด คนเลยตั้งตัวไม่ติด”

“ผมก็เห็นแนวโน้มแบบเดียวกันในประเทศไทยนะเพอร์รี่ มันทำให้ผมนึกถึงหนังสือเรื่อง ความมั่งคั่งปฏิวัติ เขียนโดย อัลวิน และ ไฮดี้ ทอล์ฟเลอร์ แปลโดยสฤณี อาชวานันทกุล ในบทที่ห้าเรื่องการปะทะกันระหว่างความเร็ว เขายกตัวอย่างความไม่สมดุลย์ของสถาบันต่าง ๆในอเมริกา โดยเปรียบเปรยกับความเร็วของรถยนต์ เขาบอกว่าภาคธุรกิจหรือบริษัทวิ่งด้วยความเร็ว 100 ไมล์/ชั่วโมง ภาคประชาสังคม 90 ไมล์/ชั่วโมง สถาบันครอบครัว 60 ไมล์/ชั่วโมง สหภาพแรงงาน 30 ไมล์/ชั่วโมง ระบบราชการ 25 ไมล์/ชั่วโมง ระบบการศึกษาและโรงเรียน 10 ไมล์/ชั่วโมง องค์กรโลกบาลเช่นสหประชาชาติ องค์กรการเงินระหว่างประเทศ หรือองค์กรการค้าโลก 5 ไมล์/ชั่วโมง ระบบการเมือง 3 ไมล์/ชั่วโมง และกฏหมาย 1 ไมล์/ชั่วโมง”

“ผมคิดว่าความไม่สมดุลย์ของระบบต่าง ๆ นี่แหละทำให้โลกเราปั่นป่วนไปหมด ไม่ว่าธุรกิจ สังคม การเมือง หรือความขัดแย้งในโลกก็ตาม” เพอร์รี่เสริม

“ใช่แล้ว สาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนรู้สึกว่ายากลำบากเพราะว่าพวกเขาส่วนใหญ่ติดกับดักความสบาย อย่างที่คุณเพิ่งบอกว่าหลังจากสุขสำราญมานานแล้วมาเจอสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เลยตกใจกันไปหมด แต่ผมก็ไม่คิดว่าทุกคนเดือดร้อนนะครับ”

“ใช่ครับเกรียงศักดิ์ บางคนไม่ว่าสถานการณ์แย่ขนาดไหนเขาก็ประสบความสำเร็จได้ ผมสังเกตว่าพวกเขามีลักษณะคล้าย ๆ กันบางเรื่องเช่น

  1. มี Passion หรือความหลงไหลในสิ่งที่ตัวเองทำ โลกนี้มันซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เหลือที่น้อยลงไปเช่นกันสำหรับคนที่ทำงานพอผ่านไปได้ ยุคนี้ต้องคนที่ผลงานยอดเยี่ยมเท่านั้นจึงประสบความสำเร็จ หากคุณไม่ชื่นชอบและรักในสิ่งที่ตัวเองทำ ก็ไม่มีทางทำงานออกมาได้ยอดเยี่ยมหรอก เพราะว่างานชั้นเลิศนั้นมันต้องอาศัยความตั้งใจ ลงรายละเอียด และอดทน หากคุณไม่ชอบงานนั้น ก็คงทำงานออกมาแบบแกน ๆ แค่นั้นเอง
  2. ซื่อสัตย์กับตนเอง เราไม่สามารถหลอกคนทุกคนในเวลาเดียวกัน และเราก็ไม่สามารถหลอกใครบางคนได้ตลอดเวลา ซื่อสัตย์กับตนเองหมายถึงเปิดเผยว่าเราเป็นอย่างไร อะไรเป็นจุดแข็ง อะไรเป็นจุดอ่อน อย่าเสแสร้ง เรามุ่งใช้จุดแข็งให้เต็มที่ ส่วนจุดอ่อนก็พยายามหาทางจัดการแก้ไข ในหลาย ๆ กรณีเราอาจจะต้องจ้างคนอื่นมาทำแทนเราในสิ่งที่เราไม่ถนัด หรือไม่ก็หาพันธมิตรที่ทำได้ดีในจุดอ่อนของเรา อย่าพยายามเก่งไปทุกอย่าง นอกจากนี้ซื่อสัตย์กับตนเองยังรวมถึงการที่ไม่พยายามเป็นในสิ่งที่คนอื่นปรารถนาให้เราเป็นทั้ง ๆ ที่เราไม่ถนัดหรือชอบ บางคนเก่งในองค์กรขนาดใหญ่ บางคนเก่งในฐานะผู้ประกอบการ บางคนเก่งในฐานะผู้ชำนาญการ เข้าใจตนเองจริง ๆ ล่าฝันของเรา และอย่าเผลอไปทำตามฝันของคนอื่นที่เราไม่สันทัด
  3. ขยัน ความเสมอต้นเสมอปลายจำเป็นมาก ในหนังสือ สัมฤทธิ์พิศวง แปลจาก Outlier ของ Malcolm Gladwell เขาพูดถึงกฏ 10,000 ชั่วโมง โดยบอกว่าคนที่ประสบความสำเร็จในระดับโลกต้องผ่านการฝึกฝนไม่ต่ำกว่า 10,000 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็น บิลล์ เกตส์ สตีฟ จ๊อปส์ วงดนตรีร๊อคเดอะบีทเทิ่ล การมีพรสวรรค์อย่างเดียวหากขาดการฝึกฝนอย่างหนักและต่อเนื่องอาจจะไม่ประสบความสำเร็จได้มากนัก
  4. ใฝ่รู้ โดยการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา โลกเรามันเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วมาก ดังนั้นความรู้เดิมๆที่เคยรู้อาจจะตกยุคไปแล้ว ผมเคยทำงานการตลาดมาก่อน และปัจจุบันก็ต้องโค้ชเรื่องการตลาดกับลูกค้าด้วย หากไม่ศึกษาเรื่อง Digital Marketing อย่าง Facebook Hi5 Twitter, Smartphone, หรือ SMS รับรองว่าไปคุยกับนักการตลาดรุ่นใหม่ ๆ ไม่รู้เรื่องแน่นอน ผมต้องขวนขวาย อ่านเอง เข้าอบรมทั้งปกติและอบรมทางเว็บ รวมถึงการพูดคุยกับกูรูเก่ง ๆ ตลอดเวลาด้วย”