ความเป็นผู้นำมีผลต่อความสำเร็จขององค์กรเพียงใด

“คุณชมพู หนังสือ The one thing you need to know โดย Marcus Buckingham นั้นอ้างอิงคำพูดของ  Warren Bennis ที่กล่าวใว้ว่า ความเป็นผู้นำมีผลต่อความสำเร็จขององค์กรอย่างน้อย 15%

องค์กรของคุณเองก็เป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพในการทำงานสูง คุณคิดว่าซีอีโอของคุณเป็นปัจจัยของความสำเร็จนี้สักเท่าไรครับ”

“อย่างมากเลยค่ะ”

“ลองประเมินเป็นตัวเลขสิครับ”

“50%”

“มากขนาดนั้นเชียวหรือครับ”

เธอพยักหน้า

“ซีอีโอท่านทำอย่างไรครับ”

“ข้อแรกคือ ท่านปฏิบัติกับทุกๆคนแตกต่างกันไป ท่านมีลูกน้องแปดคน วิธีที่ท่านรับมือกับแต่ละคนก็ต่างกันตามแต่ลักษณะของพวกเขา

เช่น เวลาอยู่ในการประชุมคณะกรรมการบริหาร ท่านจะเผชิญหน้าอย่างตรงไปตรงมากับประธานฝ่ายขาย แต่เมื่อหารือกับซีเอฟโอท่านจะโอนอ่อนลงและแสดงออกอย่างเป็นมิตรมากขึ้น และเมื่อต้องการขอความคิดเห็นจากประธานฝ่ายปฏิบัติการซึ่งเป็นคนเก็บตัว ท่านจะยิ้มแย้ม อดทน และให้เวลาแก่เขาเพื่อสื่อสารความคิดของเขาออกมา”

“แต่ถ้ามองอีกมุมก็เป็นเหมือนมีสองมาตราฐานสิครับ เอ๊ะ ไม่สิ สามมาตราฐานเลยทีเดียว”

“ดิฉันเองก็ถามท่านในเรื่องนี้เช่นกันค่ะ ท่านกลับให้ดิฉันไปลองสอบถามผู้บริหารทั้งสามท่านนี้ว่าแต่ละคนรู้สึกอย่างไร”

“พวกเขาคิดว่าอย่างไรครับ”

“พวกท่านไม่คิดว่ามีความเหลื่อมล้ำ ชอบที่ได้รับการปฏิบัติด้วยตามสไตล์ของตน แล้วยังบอกอีกว่าการปฏิบัติต่อทุกคนเหมือนกันหมดคงทำให้รู้สึกอึดอัด”

“มีอะไรอีกครับที่ซีอีโอทำได้ดี”

“ท่านสรรหาคนเก่งมาทำงานด้วย แล้วพัฒนาจนพวกเขากลายเป็นมืออาชีพแนวหน้า

ในปีแรก ท่านเปลี่ยนสมาชิกไปครึ่งทีม สำหรับคนที่ไม่เหมาะกับงานก็จะให้ย้ายไปทำงานหน้าที่อื่นที่เหมาะสมกว่า หรือขอให้ออกอย่างสุภาพ ท่านบอกว่าเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ดังนั้นถ้าคนที่เลือกมาไม่เหมาะกับตำแหน่ง ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลารอให้เขาเปลี่ยนแปลง ท่านสอนว่า ถ้าต้องการให้องค์กรมีประสิทธิภาพสูง ห้ามประนีประนอมเรื่องการวางตัวผู้บริหารเด็ดขาด

เมื่อได้คนที่เหมาะสมกับตำแหน่งแล้ว ท่านจะมอบอำนาจและความรับผิดชอบให้อย่างเต็มที่ ไม่มีการติดตามทวงถาม ทุกๆตำแหน่งต้องคิด วิเคราะห์หาทางออกด้วยตนเอง แล้วเมื่อใดที่ต้องการความช่วยเหลือจึงเข้าหาท่าน ท่านเป็นคนที่ตัดสินใจแน่วแน่ ทำให้ไม่ต้องเดาว่าท่านคิดอะไรอยู่

อีกประเด็นคือ ท่านมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ท่านบอกกับพวกเราทุกคนเมื่อห้าปีก่อนว่า – เราจะขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว เราต้องแกร่งในสองแง่มุม คือ บริการที่หลากหลาย และทีมงานที่มีความสามารถ  ดังนั้นถ้ามีการลงทุนใดที่จำเป็นสำหรับสองเรื่องนี้ให้ลงมือทันที อย่าเสียเวลา ไม่ว่าทรัพยากรที่ต้องการคืออะไรให้ขอ แล้วท่านจะพยายามจัดหาให้ โดยขออนุมัติจากสำนักงานใหญ่ในยุโรป”

“คุณคิดว่าการที่ท่านเป็นคนต่างชาติทำให้เรื่องต่างๆเหล่านี้ง่ายขึ้นไหมครับ”

“ก็มีส่วนช่วยนะคะ เพราะทำให้ท่านสามารถเผชิญหน้ากับสำนักงานใหญ่ได้โดยไม่มีข้อจำกัดด้านภาษา ถ้าซีอีโอเป็นชาวไทย เราอาจไม่สามารถผลักดันมาได้ไกลเท่านี้ ซีอีโอของดิฉันทั้ง ผลัก ดัน จี้ สู้ แล้วยังปกป้องทีมงานอีกด้วยค่ะ”

“มีอย่างอื่นอีกไหมครับ”

“ท่านรู้จักชื่อเล่นของผู้จัดการในสองระดับรองลงมาจากท่านทุกๆคนค่ะ จากลูกน้องโดยตรงแปดท่าน รองลงมามีผู้จัดการอีก 50 ท่าน ท่านรู้จักทุกๆคนแล้วยังรู้อีกด้วยว่าจุดแข็งของแต่ละคนคืออะไร”

“ท่านทำได้อย่างไรครับ”

“ท่านให้เวลาเข้าร่วมกิจกรรมนอกสถานที่กับทุกๆแผนกค่ะ ท่านสังเกตว่าผู้จัดการแต่ละท่านมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันอย่างไร ตอนกลางคืนก็ร่วมปาร์ตี้ด้วยเสมอ ท่านเรียนรู้ที่จะฟังมุมมองและความคิดเห็นของทุกๆคน”

“คุณชมพู ผมสังเกตเห็นว่าลูกน้องโดยตรงทั้งแปดท่านทำงานหนักมาก แต่ท่านไม่เคยตามงานเลย ท่านทำได้อย่างไร”

“ช่วงสองปีแรกท่านติดตามค่ะ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเริ่มมีความไว้วางใจเพิ่มขึ้นก็ไม่ต้องตามเช็คอีก ท่านทำตัวเป็นเถ้าแก่เป็นตัวอย่างให้พวกเราเห็น เราก็ดำเนินตามแนวทางคิดเสมือนว่ากำลังบริหารธุรกิจของตนเอง จะไปพบท่านก็ต่อเมื่อต้องการความช่วยเหลือ และท่านมาหาเราบ้าง ส่วนมากก็เพื่อแสดงความยินดีกับความสำเร็จของพวกเราค่ะ”

“เยี่ยมเลยนะครับ ทุกๆคนสนุกกับงานทำมาก ขนาดงานมากอย่างนี้ แต่คุณก็ยังกระตือรือร้นที่จะทำงานโครงการอื่นๆเพิ่มเติมอีก ผมประทับใจมากเลยครับ”

“โค้ชคะ ชมพูต้องให้เครดิตในเรื่องนี้แก่ซีอีโอค่ะ ท่านเป็นฝ่ายเข้าหาเราทั้งแปดเป็นการส่วนตัวเดือนละครั้ง โดยตั้งคำถามว่า พวกเราทำงานเป็นอย่างไรกันบ้าง นี่เป็นการเปิดโอกาสให้เราแต่ละคนแชร์เรื่องราวความสำเร็จและการใช้จุดแข็งของพวกเรา

ท่านจะฟังอย่างตั้งใจเสมอ จากนั้นก็แสดงความยินดี

เมื่อจบการสนทนา ท่านจะถามสองคำถามปิดท้ายเสมอคือ – ตอนนี้คุณทำได้ดีอยู่แล้ว แต่ผมรู้ว่าคุณทำได้ดีกว่านี้อีก คุณคิดว่าจะวางแผนอย่างไรเพื่อให้ไปได้ไกลกว่านี้ และผมจะช่วยอะไรได้บ้างเพื่อให้คุณไปถึงจุดนั้นได้”