ตั้งคำถามให้ถูก

“เกรียงศักดิ์เราจะทำอย่างไรดี ข้าวของแพงขึ้นทุกวัน รายได้ที่ได้รับแทบจะไม่พอกับรายจ่ายและค่าครองชีพที่ขยับตัวขึ้นทุกวัน เราจะหารายได้เสริมอย่างไรดี” แดงเพื่อนเก่าถามผม

“นายยังทำงานที่เดิมใช่ไหม”

“ใช่แล้ว” แดงเป็นผู้จัดการในบริษัทของไทยขนาดกลาง

“เราไม่แนะนำให้นายไปหารายได้เสริมหรอกนะ เพราะมันจะกระทบกับงานหลักของนาย ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

  1. ตอนนี้บริษัทต้องการให้พนักงานทุกคนทุ่มเทเต็มที่ การมีงานเสริมมันจะกระทบเวลาการทำงานหลักของนายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
  2. ยิ่งนายเป็นผู้จัดการ หากลูกน้องเห็นแล้วเอาอย่าง งานในฝ่ายก็จะกระทบตามไปด้วย
  3. ในที่สุดมันจะทำให้บริษัทเสียหายได้

“แล้วเราควรทำอย่างไรดีล่ะ”

“แล้วนายคิดว่าอย่างไรล่ะ” ผมถามกลับ

“ไม่รู้สิ ถึงถามนายไง” น้ำเสียงมีแววโกรธเล็ก ๆ

“แดงนายอย่าโกรธเรานะ เราอยากช่วยนายจริง ๆ แต่ว่าเราอยากช่วยให้นายคิดด้วยตัวเองมากกว่า มันดีระยะยาว เราไม่เก่งในการตอบแบบพลาสเตอร์ยา คือเอาเร็ว ๆ เข้าว่า ถามจริง ๆ นายคิดไม่ออก…หรือว่าไม่อยากคิด”

“โอเค…โอเค ที่จริงเราควรจะโฟกัสที่บริษัทไม่ใช่ที่ตัวเราเองใช่ไหมล่ะ”

“ดีมาก คำถามที่นายควรถามตัวเองคือ นายจะทำให้บริษัทดีขึ้นอย่างไรในภาวะที่ยากลำบากเช่นนี้”

“เราอาจจะช่วยให้บริษัทบริหารค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น

  1. ทบทวนขั้นตอนการทำงานว่าจะปรับลดให้กระชับขึ้นได้อย่างไร เราอาจให้ทีมงานระดมความคิดกัน
  2. ทบทวนงบค่าใช้จ่าย เพราะงบประมาณปีที่แล้วโดยประมาณการยอดขายที่สูงกว่านี้ ดังนั้นน่าจะบริหารค่าใช้จ่ายจริงลงได้หลายเท่าตัว
  3. จัดการอบรมคนของเราในเนื้องาน ช่วงนี้งานไม่มากนัก เราควรสอนการทำงานให้พนักงานใหม่ ๆ เขาทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  4. สื่อสารให้ดีขึ้น ในอดีตการสื่อสารที่น้อยและไม่ชัดเจนทำให้งานผิดพลาดบ่อย ๆ
  5. แนะนำไอเดียเหล่านี้ให้หัวหน้าเราและฝ่ายอื่น ๆ”

“เยี่ยมเลย เห็นไหมล่ะนายคิดได้เองตั้งมากมาย”

“ขอบใจนะที่ไม่ตอบเราด้วยคำตอบแบบพลาสเตอร์ยา”

“ไม่มีปัญหา แต่ว่าอย่าหยุดแค่นี้แดง นายเคยเสนอไอเดียดี ๆ แล้วลูกน้องต่อต้านไหม”

“โอ้ย…บ่อยไป”

“เพราะอะไรพวกเขาถึงต่อต้านล่ะ”

“เขาอาจจะไม่อยากออกจากดินแดนของความคุ้นเคย เพราะสบายดีอยู่แล้ว หรือไม่ก็อาจจะเห็นว่าไอเดียเป็นของเราที่ไปยัดเยียดให้เขาโดยที่เขาไม่ได้มีส่วนร่วมมั้ง”

“แล้วนายจะป้องกันปัญหานี้อย่างไรดี”

“เราก็อาจจะเล่าให้เขาฟังเรื่องที่เราปรึกษานาย แล้วนายก็ถามความเห็นเราเรื่องการลดค่าใช้จ่ายของบริษัท เพียงแต่ว่าเราอาจจะใช้วิธีขอให้พวกเขามาช่วยระดมความคิดกัน แทนที่เราจะบอกคำตอบไปเลย พวกเขาน่าจะคิดได้ใกล้เคียงกับเรานะ”

“ดีนะเราคิดว่าเวิร์ก เพราะว่านี่คือการบริหารการเปลี่ยนแปลงในส่วนของการนำไปปฏิบัติที่ใช้งานได้จริง”

“มีอะไรจะแนะนำอีกเราไหม เกรียงศักดิ์”

“เราคิดว่าหากนายต้องการมีรายได้เพิ่มในระยะยาวแล้ว นายต้องพัฒนาขีดความสามารถของนายให้มากขึ้นและเก่งขึ้น แล้วบริษัทก็จะมองเห็นผลงาน และอยากมอบหมายความรับผิดชอบใหม่ ๆ หรือขยับขยายบทบาทให้นายในที่สุดนะ”

“โอ้ย แต่ภาวะอย่างนี้เราไม่มีเงินไปอบรมหรอก”

“ที่จริงการพัฒนาตนเองนั้นไม่ได้ใช้เงินมากมาย มีหลายตัวอย่าง อาทิ

  • ถามซัพพลายเออร์ที่ขายของกับนายว่า เขามีอบรมสัมมนาอะไรที่นายสามารถไปร่วมได้บ้าง
  • หากไม่มีก็อาจจะขอไปศึกษาดูงานที่บริษัทของเขาก็ได้ ให้เขาสอนนายเรื่องความรู้ความชำนาญของเขา
    ทุก ๆ องค์กรมีความรู้มากมายที่เราสามารถจะเรียนรู้และแลกเปลี่ยนกันได้
  • ติดต่อพนักงานขายที่ขายสินค้าหรือบริการให้บริษัทนาย ให้เขามาแนะนำสินค้าหรือบริการที่สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพหรือบริหารค่าใช้จ่ายได้ดียิ่งขึ้น
  • ออกตลาดกับฝ่ายขายในบริษัทของนาย ออกไปพบลูกค้า เรียนรู้ภาวะตลาด
  • เรียนรู้จากเพื่อนร่วมงานเก่งๆ ในบริษัทของนายนั่นแหละ เคยมีผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดคนหนึ่งที่อ่อนการเงิน แต่เขาอยากเติบโตขึ้นเป็นซีอีโอ เขาก็ใช้วิธีไปรับประทานอาหารกลางวันกับเพื่อนซีเอฟโอที่บริษัทบ่อยๆ แล้วขอให้เขาสอนพื้นฐานการเงินให้”