“Being comfortable with the uncomfortable.”

ในโลกธุรกิจทุกวันนี้ การเปลี่ยนแปลงมีมากมาย

บริษัทแต่ละแห่งรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ต่างกัน

1. บางบริษัทรับมือได้ดี สามารถเติบโตต่อไปได้

2. บางบริษัทรับมือได้ปานกลาง แต่ผลประกอบการคงที่

3. บางบริษัทรับมือได้ไม่ดี ผลประกอบการถดถอย

ในแต่ละบริษัท พนักงานที่ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงมีสามกลุ่ม

1. กลุ่มที่ปรับตัวได้ดี

2. กลุ่มที่ปรับตัวได้ปานกลาง

3. กลุ่มที่ปรับตัวได้น้อย

กลุ่มคนที่ปรับตัวได้ดี มักจะมีทัศนคติว่า

“Being comfortable with the uncomfortable.”

คำถามคือ…

1. “Being comfortable with the uncomfortable.” หมายความว่าอย่างไร

2. ทำไม “Being comfortable with the uncomfortable.” จึงเป็นแนวคิดที่สำคัญทำให้เขาปรับตัวได้ดี

3. เราจะพัฒนาตนเองให้มีแนวคิดแบบ “Being comfortable with the uncomfortable.” ได้อย่างไร

4. ช่วยยกตัวอย่างเปรียบเทียบพฤติกรรมของคนทำงาน ตำแหน่งเดียวกัน แต่คิดต่างกันสามแบบคือ 

4.1 แบบกลุ่มที่ปรับตัวได้ดี 

4.2 แบบกลุ่มที่ปรับตัวได้ปานกลาง

4.3 แบบกลุ่มที่ปรับตัวได้น้อย

เรามาดูคำตอบจาก AI Perplexity กันดูครับ

ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การปรับตัวเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทั้งองค์กรและพนักงาน แนวคิด “Being comfortable with the uncomfortable” มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้คนปรับตัวได้ดีขึ้น ต่อไปนี้คือคำตอบสำหรับคำถามของคุณ:

1. ความหมายของ “Being comfortable with the uncomfortable”

“Being comfortable with the uncomfortable” หมายถึงการยอมรับและเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคยหรือท้าทายด้วยทัศนคติเชิงบวก แนวคิดนี้เน้นการมองความไม่สบายใจเป็นโอกาสในการเติบโตและพัฒนา แทนที่จะหลีกเลี่ยงหรือต่อต้าน ผู้ที่มีแนวคิดนี้จะเต็มใจที่จะก้าวออกจาก “comfort zone” และเผชิญกับความไม่แน่นอนเพื่อเรียนรู้และก้าวหน้า

2. ความสำคัญของแนวคิดนี้ต่อการปรับตัว

แนวคิดนี้สำคัญต่อการปรับตัวเพราะ:

– ส่งเสริมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง: การยอมรับความไม่สบายใจทำให้เปิดรับประสบการณ์และความรู้ใหม่

– เพิ่มความยืดหยุ่น: ช่วยให้คนสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนได้ดีขึ้น

– สร้างโอกาสใหม่: การกล้าเสี่ยงและลองสิ่งใหม่ นำไปสู่โอกาสที่ไม่คาดคิด

– พัฒนาความมั่นใจ: การเอาชนะความท้าทายช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในตนเอง

3. วิธีพัฒนาแนวคิด “Being comfortable with the uncomfortable”

1. ฝึกฝนการเผชิญหน้ากับความไม่สบายใจทีละน้อย: เริ่มจากสถานการณ์ที่ท้าทายเล็กน้อยและค่อย ๆ เพิ่มระดับ

2. ฝึกสติและการหายใจ: ช่วยให้สงบและมีสมาธิในสถานการณ์ที่ยากลำบาก

3. มองความไม่สบายใจเป็นโอกาสในการเติบโต: เปลี่ยนมุมมองจากอุปสรรคเป็นโอกาส

4. ตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย: กำหนดเป้าหมายที่ผลักดันให้ต้องออกจาก comfort zone

5. ฝึกการคิดเชิงบวก: มองหาด้านดีในทุกสถานการณ์ แม้จะยากลำบาก

4. ตัวอย่างเปรียบเทียบพฤติกรรมของคนทำงานในตำแหน่งเดียวกัน

สมมติว่าบริษัทกำลังนำระบบ AI มาใช้ในการทำงาน:

4.1 กลุ่มที่ปรับตัวได้ดี (Being comfortable with the uncomfortable)

– มองการเปลี่ยนแปลงเป็นโอกาสในการเรียนรู้ทักษะใหม่

– อาสาเข้าร่วมโครงการนำร่องเพื่อทดลองใช้ระบบ AI

– แสวงหาข้อมูลและการฝึกอบรมเพิ่มเติมเกี่ยวกับ AI ด้วยตนเอง

– เสนอไอเดียใหม่ ๆ ในการใช้ AI เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน

4.2 กลุ่มที่ปรับตัวได้ปานกลาง

– ยอมรับการเปลี่ยนแปลงแต่ไม่กระตือรือร้นมากนัก

– เข้าร่วมการฝึกอบรมตามที่บริษัทกำหนด แต่ไม่ได้หาความรู้เพิ่มเติม

– ใช้ระบบ AI ตามที่ได้รับมอบหมาย แต่ไม่ได้คิดค้นวิธีใช้งานใหม่ ๆ

– รอดูผลลัพธ์ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงหรือไม่

4.3 กลุ่มที่ปรับตัวได้น้อย

– ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงและมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อตำแหน่งงาน

– หลีกเลี่ยงการใช้ระบบ AI หรือใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น

– บ่นว่าระบบใหม่ยุ่งยากและไม่จำเป็น

– ไม่สนใจเรียนรู้ทักษะใหม่ที่เกี่ยวข้องกับ AI

การพัฒนาแนวคิด “Being comfortable with the uncomfortable” 

จะช่วยให้พนักงานสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น 

เพิ่มโอกาสในการเติบโตทั้งส่วนตัวและวิชาชีพ 

และสร้างคุณค่าให้กับองค์กรในระยะยาว