คุณแมวได้รับการเลื่อนขั้นจากผู้จัดการที่เคยดูแลพนักงานที่ใช้ความรู้ในการทำงานสี่คน ขึ้นเป็นผู้อำนวยการที่ต้องดูแลผู้จัดการหกคน แต่เธอกลับบริหารงานและคนแบบผู้จัดการแทนที่จะใช้วิธีที่ผู้อำนวยการควรจะทำกัน
ในหนังสือ The Leadership Pipeline โดย Ram Charan, Stephen Drotter and James Noel ได้เขียนว่าในองค์กรส่วนใหญ่เส้นทางของความก้าวหน้าของฝ่ายจัดการหรือ Leadership Pipeline มีอยู่หกระดับ ในแต่ละช่วง มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องตำแหน่ง บทบาทหน้าที่ ความซับซ้อนของภาวะผู้นำ แตกต่างกันไป ซึ่งทั้งหกระดับของ Pipeline คือ
- บริหารตนเอง
- จากการบริหารตนเอง สู่การบริหารคนอื่น
- จากการบริหารคนอื่น สู่การบริหารผู้จัดการ
- จากการบริหารผู้จัดการ สู่การบริหารธุรกิจ
- จากการบริหารธุรกิจ สู่การบริหารกลุ่มธุรกิจ
- จากการบริหารกลุ่มธุรกิจ สู่การบริหารองค์กรขนาดใหญ่
หนังสือช่วยให้ค้นพบว่าในแต่ละช่วงนั้น คนต้องใช้แนวทางใหม่ในการบริหารงานและภาวะผู้นำที่แตกต่างกันไปจากบทบาทเดิมก่อนหน้านั้น เราต้องทิ้งแนวทางเดิมในสามประเด็นหลักคือ
A. ทักษะที่สำคัญในแต่ละบทบาท เมื่อเราขยับก้าวสูงขึ้นไป เราต้องการทักษะใหม่ ๆ เพิ่มขี้นเพื่อทำงานให้ได้ดีในความรับผิดชอบใหม่
B. การจัดการเรื่องเวลา เมื่อขอบข่ายงานเราเปลี่ยนแปลงไป การกระจายเวลาก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย ยิ่งเราขยับสูงขึ้นไปเราจะใช้เวลาในการบริหารงานมากขึ้น และเวลาในการทำงานน้อยลง
C. ค่านิยมที่มีต่องาน เราต้องมีความเชื่อที่ถูกต้องว่าในแต่ละช่วงนั้น เราควรให้คุณค่ากับการทำอะไร ระหว่างการทำงาน การบริหารงาน หรือการบริหารคน
จากประสบการณ์ของผมในเมืองไทยนั้น ผมเห็นผู้จัดการจำนวนมากสะดุดและล้มลุกคลุกคลานเพราะไม่สามารถจะปรับตัวเข้ากับบทบาทใหม่ในแต่ละช่วงได้ดี ที่ห็นบ่อยที่สุดคือการที่ผู้จัดการที่เคยบริหารพนักงานต้องเปลี่ยนไปเป็นผู้จัดการที่บริหารผู้จัดการด้วยกัน แต่ยังคงใช้วิธีเดิม ๆ กับเหล่าผู้จัดการ
ทำไมหรือครับ
ในหนังสือบอกว่า คนส่วนใหญ่เมื่อขึ้นเป็นผู้จัดการที่ต้องบริหารผู้จัดการยังแยกแยะไม่ออกว่าบทบาทใหม่ของตนคือ การบริหาร มิใช่การทำงาน เพราะว่าก่อนจะได้รับการโปรโมทในขณะที่เขาเป็นผู้จัดการระดับต้นนั้น เขามักจะบริหารพนักงาน ในขณะเดียวกันก็ลงมือทำงานด้วย แต่ว่าในบทบาทใหม่นั้น ทักษะสำคัญคือ การเลือกคนมาเป็นผู้จัดการแทนเขา มอบหมายงานบริหารและภาวะผู้นำให้เขา ติดตามความคืบหน้าของงานบริหารและโค้ชเขา ในบทบาทใหม่นี้เขาจะคิดเฉพาะส่วนงานของเขาอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องคำนึงถึงยุทธ์ศาสตร์และภาพใหญ่ขององค์กรด้วย
ความยากที่เกิดขึ้นเพราะว่าเขายังให้คุณค่ากับงานที่เกิดจากการลงมือทำของตนและหน่วยงานของตนเป็นหลัก บ่อยครั้งที่คนเหล่านี้เมื่อได้รับการโปรโมทให้เป็นผู้จัดการครั้งแรกก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงมุมมองและบทบาท ดังนั้นเมื่อมาเป็นผู้จัดการของผู้จัดการ ก็ชี้นำแบบผิด ๆ ไปยังผู้จัดการอื่น ๆ ทำให้เกิดผลกระทบในผลงานหนักขึ้นไปอีก
การโค้ชจะช่วยพวกเขาได้มาก เพราะว่าผู้จัดการเหล่านี้ในตอนที่ขึ้นเป็นผู้จัดการครั้งแรก มักจะไม่ได้รับการอบรมถึงบทบาทของผู้จัดการ แต่ว่าการโค้ชเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความตั้งใจ องค์กรส่วนใหญไม่ตระหนักถึง จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้จัดการจำนวนมากมองไม่เห็นความสำคัญของการโค้ชลูกน้องที่เป็นผู้จัดการ
สัญญาณที่อาจจะบอกว่าผู้จัดการของผู้จัดการมีปัญหามีห้าข้อ แต่ที่จะไม่พบคือเรื่องปัญหาของงานเพราะผู้จัดการเหล่านั้นได้รับการโปรโมทเพราะทำงานเก่ง ดังนั้นเขามักจะไม่ยอมปล่อยให้งานหลุด แต่เราสามารถจะสังเกตสิ่งต่อไปนี้
- กระจายงานไม่ออก
- การบริหารผลงานล้มเหลว
- ล้มเหลวในการสร้างทีมที่แข็งแรง
- มุ่งทำงานแต่อย่างเดียว
- มองหาคนที่เหมือนตัวเองมาแทน
หนังสือแนะนำว่าสิ่งที่ควรจะทำคือ
- เลือกคนมาเป็นผู้จัดการระดับต้นและพัฒนาเขา
- มอบหมายความรับผิดชอบในการบริหารงานให้กับผู้จัดการระดับต้น
- บริหารจัดการทรัพยากรระหว่างแต่ละส่วนงาน
- บริหารงานข้ามสายงาน
ความเห็นส่วนตัวของผม มีคุณสมบัติที่ควรจะมีเพิ่มคือ
- การโน้มน้าว จูงใจ และต่อรอง
- การสร้างแรงบันดาลใจ
- เข้าใจการเมืองในสำนักงานและสามารถทำงานได้
เพราะเขาต้องทำงานร่วมกับผู้จัดการระดับเดียวกัน หรือภายใต้โครงสร้างแบบ Matrix หรือในโลกเสมือนจริง ซึ่งต้องการคุณสมบัติเหล่านี้