การทะเยอทะยานในการสร้างคุณค่า: มิติใหม่ของความสำเร็จที่ยั่งยืน

องค์กรต่างมุ่งที่การแข่งขัน จนคำว่า “ทะเยอทะยาน” มักถูกมองในแง่ลบ

ทว่าการทะเยอทะยานไม่จำเป็นต้องเชื่อมโยงกับ
ความต้องการในอำนาจ เงินทอง หรือยศฐานะเสมอไป
แท้จริงแล้ว การมีความทะเยอทะยานสามารถเป็นกลไกสำคัญ
ในการสร้างคุณค่าที่แท้จริงให้กับสังคมและชุมชนที่เราอยู่อาศัย

งานวิจัยของ Collins และ Porras ใน “Built to Last: Successful Habits of Visionary Companies”
แสดงให้เห็นว่าองค์กรที่ยิ่งใหญ่มักมีความทะเยอทะยานในการสร้าง “คุณค่าหลัก” ที่เกินกว่าผลกำไรและการเติบโตขององค์กรเท่านั้น พวกเขาตั้งเป้าหมายที่สูงเพื่อ “ทำให้โลกนี้ให้ดีขึ้น”

ซึ่งสอดคล้องกับความคิดของ Simon Sinek ใน “Start With Why” ที่ได้เน้นย้ำถึงการมี “เหตุผล” หรือ “ทำไม” ที่ชัดเจนในการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างแรงบันดาลใจและการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

การทะเยอทะยานที่มุ่งสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงบวก สามารถส่งผลดีต่อทุกส่วนขององค์กร
ตั้งแต่ทีมงานจนถึงลูกค้าและชุมชน

การวิจัยโดย Hackman และ Wageman (2005) ชี้ให้เห็นว่าทีมงานที่มีความทะเยอทะยานอย่างชัดเจน
และตั้งเป้าหมายไปที่การพัฒนาตนเองและองค์กร จะมีผลการทำงานที่ดีกว่าทีมที่ไม่มี

ในท้ายที่สุด การที่เรา “พัฒนาตนเองให้ดีขึ้นและเก่งขึ้นทุกวัน” ไม่เพียงแต่สร้างประโยชน์ให้กับตนเอง
แต่ยังช่วยเสริมสร้างคุณค่าให้กับองค์กรและสังคมโดยรวม

ดังที่ Daniel Pink ได้กล่าวใน “Drive: The Surprising Truth About What Motivates Us” ว่า การทำงานที่มาจากการทะเยอทะยานภายในจะนำมาซึ่งความพึงพอใจในงานและผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่

การมีความทะเยอทะยานในการสร้างคุณค่าไม่ใช่เรื่องของความเห็นแก่ตัว
แต่เป็นเรื่องของการมองเห็นภาพใหญ่และการมีส่วนร่วมในการสร้างโลกที่เราอยู่ให้ดีขึ้น
ด้วยการมีความทะเยอทะยานที่ถูกต้องและเน้นที่การพัฒนาทั้งตนเองและผู้อื่น
เราสามารถสร้างคุณค่าและสร้างความสำเร็จที่ยั่งยืนได้

High-Performance Organizations (HPO) ต่างมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาความสามารถของ
‘Knowledge Workers’ อย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้พนักงานเหล่านี้สามารถสร้างสรรค์ นำไปใช้ และแบ่งปันความรู้อย่างมีประสิทธิภาพ

ต่อไปนี้คือแนวทางสำหรับ HPO:

  1. การส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต: สนับสนุนให้พนักงานมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เช่น การจัดการอบรมทักษะใหม่ๆ การให้สิทธิ์ในการเข้าถึงแพลตฟอร์มการเรียนออนไลน์ และการจัดสัมมนาทางวิชาการ
  2. การพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์: ปลูกฝังการคิดวิเคราะห์ ผ่านการฝึกอบรม กรณีศึกษา และการใช้เครื่องมือทางสถิติ เพื่อให้พนักงานสามารถตัดสินใจได้โดยอาศัยข้อมูลและหลักฐาน
  3. การส่งเสริมความเป็นเลิศทางเทคนิค: นำเสนอการฝึกอบรมด้านเทคนิคและการรับรองความเชี่ยวชาญ เพื่อเพิ่มความสามารถทางเทคนิคและการทำงานของพนักงาน
  4. การสร้างแพลตฟอร์มแบ่งปันความรู้: จัดตั้งฟอรั่ม วิกิ หรือฐานข้อมูลเพื่อให้พนักงานสามารถแบ่งปันและเข้าถึงความรู้ที่เก็บสะสมได้
  5. การส่งเสริมการทำงานเป็นทีมข้ามฟังก์ชัน (Cross-functional Teamwork): การทำงานร่วมกันข้ามสายงานช่วยให้พนักงานเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ และมองเห็นมุมมองต่าง ๆ จากเพื่อนร่วมงาน
  6. การส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity and Innovation): สนับสนุนให้พนักงานมีอิสระในการสำรวจและทดลองสิ่งใหม่ ๆ มีกิจกรรม Heckathon

ในฐานะ Knowledge Workers ที่ทำงานใน HPO
ควรมีแนวคิดดังต่อไปนี้เพื่อส่งเสริมการทำงานและผลผลิตขององค์กร:

  1. การมุ่งมั่นพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง: มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้และปรับปรุงทักษะอยู่เสมอ เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงและความต้องการของตลาด
  2. มุมมองที่เน้นความร่วมมือ: ยอมรับว่าความสำเร็จเป็นผลมาจากการทำงานร่วมกัน มีทักษะในการทำงานเป็นทีมและการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ
  3. ความยืดหยุ่นและการปรับตัว: สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์และความต้องการใหม่ๆ อย่างรวดเร็ว และมีความพร้อมที่จะเรียนรู้จากสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด
  4. นวัตกรรมและการสร้างสรรค์: ส่งเสริมและมีส่วนร่วมในการสร้างไอเดียใหม่ ๆ และหาวิธีที่ดีกว่าในการทำงาน
  5. ความรับผิดชอบส่วนบุคคล: มีความรับผิดชอบสูงต่องานของตนเอง และสามารถจัดการกับงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเป็นอิสระ
  6. มุ่งเน้นผลลัพธ์: มุ่งหวังผลลัพธ์ที่มีคุณภาพและส่งมอบงานตามเป้าหมายที่กำหนด
  7. เข้าใจในภาพรวมและเป้าหมายขององค์กร: มีความเข้าใจว่างานของตนเองมีบทบาทอย่างไรในการบรรลุเป้าหมายระดับองค์กร และทำงานอย่างมีจุดมุ่งหมายเพื่อสนับสนุนเป้าหมายนั้น

การมีแนวคิดเหล่านี้จะช่วยให้พนักงานสามารถเติบโตและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใน HPO
และยังช่วยส่งเสริมวัฒนธรรมขององค์กรที่มีความยั่งยืนต่อไป