คู่มือการแก้ปัญหาแบบมืออาชีพ

ในองค์กรสมรรถนะสูง คนทำงานฐานความรู้ต้องใช้ดุลพินิจในการทำงานมากพอสมควร

โดยเฉพาะเมื่อเขาต้องแก้ปัญหาในการทำงานแบบมืออาชีพ

1. การแก้ปัญหาแบบมืออาชีพคืออะไร

2. ประโยชน์ของมันคืออะไร

3. มีขั้นตอนในการแก้ปัญหาอย่างไรบ้าง

4. แต่ละขั้นตอนทำอย่างไร

5. เราจะพัฒนาทักษะนี้ได้อย่างไรบ้าง 

6. ประสบการณ์แบบไหนบ้างทำให้เราแก้ปัญหาเก่ง

7. Checklist คนที่มีทักษะการแก้ปัญหาเก่งคืออะไร

8. ตัวอย่าง 4 หลักการ และข้อดีและข้อเสียแต่ละรูปแบบ

1. การแก้ปัญหาแบบมืออาชีพคืออะไร

คือการใช้เหตุผล ความรู้ และทักษะในการหาคำตอบหรือวิธีแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในงานอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว

2. ประโยชน์ของมันคืออะไร

ประโยชน์คือการลดความเสี่ยง ประสิทธิภาพในการทำงาน และการสร้างความไว้วางใจจากผู้นำและทีมงาน

3. มีขั้นตอนในการแก้ปัญหาอย่างไรบ้าง

ขั้นตอนทั่วไปมีอยู่ 4 ขั้นตอน คือ การวิเคราะห์ปัญหา การสร้างแนวคิด การประเมินและเลือกแนวคิด และการดำเนินการ

4. แต่ละขั้นตอนทำอย่างไร:

  – การวิเคราะห์ปัญหา: ระบุปัญหา ความต้องการ และข้อจำกัด

    – การสร้างแนวคิด: ใช้เทคนิคที่หลากหลาย เช่น brainstorming หรือ mind mapping

    – การประเมินและเลือกแนวคิด: ใช้เครื่องมือเช่น SWOT analysis หรือ decision matrix

    – การดำเนินการ: สร้างแผนการ และดำเนินการตามแผน

5. เราจะพัฒนาทักษะนี้ได้อย่างไรบ้าง

ผ่านการฝึกฝน การอบรม และการเรียนรู้จากประสบการณ์

6. ประสบการณ์แบบไหนบ้างทำให้เราแก้ปัญหาเก่ง

การเผชิญกับปัญหาที่หลากหลาย การได้รับคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์ และการทบทวนผลการดำเนินการ

7. Checklist สำหรับคนที่มีทักษะการแก้ปัญหาเก่งคืออะไร:

  – มีความคิดริเริ่ม

    – มีทักษะในการวิเคราะห์

    – สามารถสร้างและประเมินแนวคิดได้

    – มีทักษะในการสื่อสาร

    – สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้

    – มีความอดทนและมุ่งมั่น

8. ตัวอย่างหลักการแก้ปัญหามีอะไรบ้างแต่ละแบบมีข้อดีและข้อเสียอย่างไร

1. หลักการ Problem Solving & Decision Making ของ Kepner-Tregoe

Situation Appraisal**: ระบุปัญหาหรือสถานการณ์ที่ต้องการแก้ไข

Problem Analysis**: วิเคราะห์ปัญหาเพื่อหาสาเหตุ

Decision Analysis**: ประเมินตัวเลือกและผลกระทบ

Potential Problem Analysis**: วิเคราะห์ปัญหาที่อาจเกิด และวางแผนป้องกันหรือแก้ไข

1. Six Thinking Hats by Edward de Bono: 

ใช้หมวกสีต่าง ๆ เพื่อช่วยในการคิดหรือวิเคราะห์ปัญหาจากมุมมองที่หลากหลาย

2. SWOT Analysis: 

วิเคราะห์ Strengths Weaknesses Opportunities และ Threats

3. Fishbone Diagram (Ishikawa): 

ใช้ในการหาสาเหตุรากของปัญหา โดยการเขียนเป็นแผนภาพ ผังก้างปลา

ข้อดีและข้อเสีย

Kepner-Tregoe

  – ข้อดี: ระบบที่เป็นขั้นตอน ครอบคลุม และเป็นลำดับ

  – ข้อเสีย: อาจจะซับซ้อนและใช้เวลาในการประยุกต์ใช้

Six Thinking Hats

  – ข้อดี: ส่งเสริมการคิดอย่างครอบคลุม และสามารถใช้ได้รวดเร็ว

  – ข้อเสีย: อาจไม่เหมาะสมสำหรับปัญหาที่ซับซ้อนมาก

SWOT Analysis

  – ข้อดี: ง่ายต่อการใช้งาน และเหมาะสมสำหรับการตัดสินใจระดับสูง

  – ข้อเสีย: อาจไม่ได้ขุดหาสาเหตุรากของปัญหา

Fishbone Diagram

  – ข้อดี: ช่วยในการหาสาเหตุรากของปัญหาอย่างละเอียด

  – ข้อเสีย: อาจจะยุ่งยากและใช้เวลาในการสร้างและวิเคราะห์

ข้อมูลนี้น่าจะเป็นประโยชน์ในการเลือกใช้เครื่องมือหรือหลักการที่เหมาะสมสำหรับคุณและองค์กรของคุณครับ